“อะไรกัน…ข้ารู้สึกดั่งว่า…แทบ…แทบหายใจไม่ออกแล้ว!”
“เกิดอะไรขึ้นกันแน่ เขาลูกยักษ์มันอะไรกัน? ไฉนถึงมีหุบเขาลูกมหึมาปรากฏขึ้นเหนือเมืองกุยฉางได้?”
“ช่างเป็นแรงกดดันที่น่าสะเทือนขวัญโดยแท้! ข้า…ข้าแทบต้านไม่ไหวแล้ว ราวกับต้องคุกเข่าให้มัน!”
“นั้นมันหุบเขาถงเทียน! หุบเขาลูกมหึมานั้นดูคล้ายหุบเขาถงเทียนอยู่หลายส่วน หากหล่นลงมา เมืองกุยฉางวินาศเป็นฝุ่นผงแน่!”
……………………
เช่นเดียวกันกับบริเวณตีนหุบเขาถงเทียนของจริงที่กำลังเกินภัยพิบัติสุดวิปลาส น่านฟ้าเหนือเมืองกุยฉางเองก็มีปรากฏการณ์สุดโกลาหลเช่นกัน
เหนือเมืองกุยฉาง จู่ๆก็มีหุบเขาลูกมหึมาปรากฏขึ้นท่ามกลางทุกสายตา
รัศมีเต๋าที่ปลดปล่อยออกมาจากหุบเขาลูกนี้ ช่างรุนแรงจนกดดันให้ทุกคนแทบต้องก้มกราบ
ยิ่งใหญ่เกินไป!
ยิ่งใหญ่ไร้สิ้นสุด!
“ผู้อาวุโสซวน รีบหนีออกไปเมืองกุยฉางโดยเร็วเถิด! หากหุบเขาลูกนี้ถล่มตกลงมา แม้แต่พวกเราก็ไม่สามารถหนีได้ทัน!”
ณ ตำหนักตระกูลหวัง สีหน้าการแสดงออกของหวังซูพลันแปรเปลี่ยนไปอย่างมาก
ในระยะเวลาเกือบสามสิบปีที่ผ่านมานี้ หวังซูและหวังซวนเฟยอาศัยอยู่ในเมืองกุยฉางมาโดยตลอด ซึ่งนี่เปรียบเสมือนแรงคานอำนาจของหอมหาสมบัติมิให้ผงาดไปมากกว่านี้
ทว่าเพียงเหลือบเห็นหุบเขาถงเทียนลูกมหึมาที่ตั้งตระหง่านเหนือน่านฟ้า พวกเขาก็ไม่สามารถนั่งนิ่งได้อีกต่อไป
เผชิญกับความกดดันระดับนี้ แขนขาของทั้งสองสั่นเทาโดยมิตั้งใจ
หวังซวนเฟยสีหน้ามืดลง เขากล่าวตอบอย่างเคร่งขรึมว่า
“รีบไปกันเถอะ! ดูท่าเมืองกุยฉางคงไม่รอดแล้ว!”
หลังจากนั้นทั้งสองที่สนทนากันเสร็จสรรพ พวกเขาพลันเร่งฝีเท้าสับหนีออกนอกเมืองโดยไม่มีแม้แต่คำร่ำลา
ซึ่งแท้ที่จริงแล้วนี่มิใช่แค่พวกเขา แต่เหล่านักสู้ของเมืองกุยฉางเองก็อพยพหนีออกจากเมืองจนเกือบหมด
ปัจจุบัน ทางเข้าเมืองกุยฉางถูกปิดผนึกโดยสมบูรณ์ ฝูงชนเบียดเสียดแน่นจนไม่มีแม้แต่น้ำสักหยดจะรินไหลผ่านไปได้ ต่างคนต่างต้องดิ้นรนเพื่อเอาชีวิตรอด
แม้แต่องค์รักษ์ผู้พิทักษ์เมือง รวมไปถึงนายทวารเข้าประตูเมืองยังไม่รั้งรอ พวกเขาเองเข้าปะปนอยู่ในฝูงชนที่อพยพออกไปเช่นดัน
นี่หาใช่ความผิดของพวกเขาไม่ แต่เป็นเพราะแรงกดดันที่แผ่สะพัดเหนือน่านฟ้ากลับสะเทือนขวัญเกินไป!
พลังฟ้าดินที่แท้จริง มีหรือทั่มนุษย์จะหาญกล้าต้านทานได้?
ณ หอมหาสมบัติ ซูหลิงปู้และหยางรุยจับจ้องไปที่หุบเขาลูกมหึมานั้น ในทำนองเดียวกัน สีหน้าอารมณ์ในยามนี้ค่อนข้างรวนเรสองจิตสองใจ
“ท่านประมุขหอ พวกเราไม่หนีไปกับพวกเขารึ?”
ซูหลิงปู้กล่าว
หยางรุคลี่ยิ้มสุดระทมขมขื่นใจ ก่อนกล่าวว่า
“หนีไป? พวกเราสามารถหนีได้ด้วยรึ? ไม่ว่าวรยุทธเคลื่อนที่จะว่องไวเพียงใด เกรงว่าพวกเราก็หนีไม่ทันแล้ว!”
“เกิด…เกิดอะไรขึ้นกันแน่? ไฉนถึงต้องเป็นเมืองกุยฉาง?”
ซูหลิงปู้กล่าวขึ้นเจือน้ำเสียงแฝงปริศนามากมาย
“เฮ้ออ…นั้นสิ บนมหาพิภพถงเทียนมีเมืองมากมายนับไม่ถ้วน แต่ไฉนถึงต้องเป็นเมืองกุยฉาง? หรือเป็นไปได้ไหมว่า จู่ๆหุบเขาถงเทียนจะเคลื่อนที่มาหาเมืองกุยฉางเอง? แต่นี่เป็นไปได้อย่างไร?”
หยางรุยบ่นพึมพำ
…………………..
พริบตาเดียวเวลาบนโลกภายนอกพ้นผ่านไปสามสิบปี ในขณะที่เย่หยวนใช้เวลาอยู่ในโลกแห่งศิลาจารึกบัลลังก์พิภพไปแล้วถึงสามร้อยปี
อย่างไรก็ตามแต่ ในขณะที่มหาพิภพถงเทียนกำลังประสบภัยพิบัติสุดวิปลาส เย่หยวนก็ค่อยๆลืมตาขึ้นจากห้วงสมาธิ
คู่ดวงเนตรแผดประกายแสงเจิดจ้า ผู้ใดได้เห็นต่างต้องให้ความเกรงขามอยู่หลายส่วน
สถานะความแกร่งกล้าในปัจจุบันกล่าวได้ว่าเป็นจุดสูงสุดของเย่หยวนแล้ว!
ตรงกันข้ามกับ ชายชราในชุดอาภรณ์สีเทาอย่างหวู่เฉิน เขาได้แต่จับจ้องเย่หยวนด้วยความประหลาดใจ
เห็นเย่หยวนลืมตาตื่นจากสมาธิ เขาเผยสีหน้าแปลกๆก่อนเอ่ยถามขึ้นด้วยความวิตกสุดขีดว่า
“เจ้าหนู เจ้ากำลังทำบ้าอันใด?”
เนื่องด้วยตอนนี้วรยุทธบ่มเพาะพลังของเย่หยวนเสร็จสมบูรณ์แล้ว เขาจึงรู้สึกตื่นเต้นจนปิดไม่อยู่ พร้อมเอ่ยตอบอย่างยิ้มแย้มขึ้นว่า
“มิใช่ว่าท่านอาวุโสเฝ้ามองข้าอยู่ตลอดรึ? ข้าก็กำลังหลอมสร้างวรยุทธบ่มเพาะพลังของข้าขึ้นมา!”
เพราะหวูเฉินเฝ้ามองเย่หยวนอยู่ตลอด เขาจึงตระหนักได้ทันทีว่า ภัยพิบัติสุดวิปลาสด้านนอกคือฝีมือของเย่หยวนแน่นอน!
เพียงแต่ เขากลับไม่สามารถเข้าใจได้เลยสักนิด เย่หยวนไปเย้ยฟ้าท้าดินอะไรเข้า ไฉนถึงกระตุ้นให้มหาพิภพถงเทียนปั่นปวนได้ขนาดนี้
“เจ้ารู้ตัวหรือไม่ว่า ตอนนี้เมืองกุยฉางกำลังตกสู่ความหายนะ! หุบเขาถงเทียนจู่ๆก็ปรากฏขึ้นเหนือน่านฟ้า!”
หวูเฉินกล่าวขึ้นด้วยความตกใจ
“หึ้ม? หุบเขาถงเทียน?”
เย่หยวนแลจับจ้องด้วยสายตาสุดว่างเปล่า ทันใดนั้นเขาะลนสัมผัสได้ถึงแรงสั่นสะเทือนที่สะท้อนกังวาลจากด้านนอก!
ในที่สุดหุบเขาถงเทียนก็ค่อยๆร่วงหล่นลงมาจากน่านฟ้าเหนือเมืองกุยฉางแล้ว!
ตึงงง….
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: จอมเทพโอสถ
DDD...