“ช่างน่าเสียดายนัก! ยอดอัจฉริยะนักหลอมโอสถแห่งยุคกลับต้องมาเผชิญพบชะตากรรมเช่นนี้!”
ยามใดที่จุดแสงหายไป นั้นแสดงว่าบุคคลผู้นั้นจะหายลับตลอดกาลนิรันดร์ จะไม่สามารถกลับออกมาจากห้วงแห่งความโกลาหลได้อีก
แต่หรงซูกล่าววาจาเหยียดหยามขึ้นว่า
“นี่เป็นเพราะเขารนหาที่ตายเอง! เขาคิดว่าการที่ตนเองหลอมกลั่นได้ขั้นเทวะโมฆะ จะทำให้เขาไร้เทียมทานและไม่จำต้องฟังคำตักเตือนของผู้ใดอีกต่อไป! ผ่านไปไม่กี่วัน ผยิ่งผยองถึงขั้นท้าทายห้วงมิติสืบทอดเสียแล้ว!”
หลิงหยุนเหลือบมองไปที่หรงซู แต่สุดท้ายก็ไม่กล้าเอ่ยเสริมเติมต่อใดๆ
ศึกการต่อสู้ระหว่างชนชั้นสูง ลูกปลาตัวน้อยที่มีตำแหน่งแค่ผู้ดูแลย่อมไม่สามารถเข้าไปข้องเกี่ยวได้
นอกจากนี้เอง เขายังเข้าใจดีถึงเจตนาของผู้อาวุโสใหญ่ที่มาในวันนี้ แต่เขาก็ไม่มีสิทธิ์พูดอะไรอยู่ดี
ทันทีทันใด ดวงตาคู่นั้นของหลิงหยุนพลันสว่างไสวขึ้นอีกครั้ง เขาเอ่ยกล่าวขึ้นด้วยความประหลาดใจขึ้นว่า
“หื้ม? จุดไฟสว่างขึ้นอีกครั้งแล้ว!”
สีหน้าการแสดงออกของหรงซูพลิกเปลี่ยนฉับพลัน ก่อนพบว่าจุดไฟนั้นสว่างขึ้นแล้วจริงๆ
“หุหุ ดูเหมือนว่าสิ่งนี้อาจทำให้ผู้อาวุโสใหญ่ต้องผิดหวังเสียแล้ว!”
ทันทีทันใด สุ้มเสียงของซวนอี้ก็ดังกึกก้องจากด้านหลัง
หลิงหยุนปวดเศียรขึ้นฉับพลัน สองขั้วอำนาจใหญ่ประหนึ่งคู่กัดตลอดมา กลับโคจรพบหน้าในเวลาเดียวกัน!
แต่ผู้อาวุโสเย่เองก็มีคุณสมบัติเพียงพอที่จะชักพาสองขั้วอำนาจใหญ่ให้เคลื่อนไหวจริงๆ
หรงซูตะคอกเสียงเย็นตอกกลับทันทีว่า
“เพียงยื้อชีวิตต่ออายุไปอีกเล็กน้อย! อันตรายจากห้วงแห่งความโกลาหลนั้นวิปบาสเพียงใด ใช่ว่าอีกฝ่ายจะไม่รู้ตัว!”
ซวนอี้เหลือบมองหรงซู พร้อมคู่แววตาหลากความหมาย เขากล่าวว่า
“ผู้อาวุโสใหญ่ อารมณ์ค่อนข้างแปรปรวนมิใช่น้อย! ผู้อาวุโสเย่ถือเป็นเสาหลักของเมืองจักรพรรดิอินทรีสวรรค์ หากเขาเสียชีวิตลงภายในนั้น ท่านกล่าวราวกับว่ามันไม่ส่งผลกระทบใดๆเลยต่อเมืองจักรพรรดิอินทรีสวรรค์?”
สีหน้าการแสดงออกของหรงซูมืดครึ้มลงทันใด ก่นเสียงเย็นใส่ว่า
“เราชายชราคนนี้อารมณ์มิค่อยจะดีนัก! การกระทำของผู้อาวุโสเย่นับว่าไม่สมควร! เขาเป็นถึงผู้อาวุโสแห่งหอโอสถ แต่กลับวิ่งแจ้นเข้ามาในหอยุทธ์เพื่อแสวงหาความบันเทิง! ซวนอี้ หากผู้อาวุโสเย่ตายลงไปจริงๆ กลับต้องเป็นเจ้าที่ต้องรับผิดชอบต่อสิ่งที่เกิดขึ้นทั้งหมด!”
ซวนอี้อดสำลักมิได้เมื่อได้ยิน ทันทีทันใด เขาค้นพบได้ทันทีว่า เมื่อเย่หยวนไม่อยู่ข้างกาย เรื่องต่อฝีปากกลับต่อกรกับผู้อาวุโสใหญ่มิได้เลย
ที่ว่ากล่าวออกไปในทีแรก นับว่าดักตัวเองโดยแท้!
หรงซูกรนเสียงเย็นอีกคำโต และสะบัดแขนเสื้อไปทันที
เมื่อเห็นว่าจุดแสงของเย่หยวนสว่างไสวขึ้นอีกครั้ง ความจริงแล้ว เขาเองก็รู้สึกไม่สู้ดีนัก
ซวนอี้จับจ้องไปที่จุดแสงนั้นด้วยความกังวลใจยิ่ง
ซึ่งในความเป็นจริง สถานการณ์ในปัจจุบันของเย่หยวนก็ค่อนข้างเลวร้ายนัก
ห้วงมิติยิ่งนานเข้ายิ่งซับซ้อนมากขึ้นเรื่อยๆ ความเข้าใจต่อแนวคิดแห่งห้วงมิติของเนย่หยวนไม่ในขณะนี้ ไม่เพียงพอที่จะสนับสนุนร่างของเขาให้เหาะเหินผ่านอากาศได้อีกต่อไป
หลังจากใช้ความพยายามอย่างหนัก เขาก็ค้นพบพื้นที่ห้วงมิติบางส่วนที่มีความเสถียรอยู่บ้างเล็กน้อย เพื่อพักหายใจ
“ให้ตายเถอะ ภายใต้สภาพแวดล้อมแบบนี้ ข้าจะไปทำความเข้าใจต่อแนวคิดแห่งห้วงมิติได้อย่างไร? นี่พวกบรรพชนทิ้งมรดกเอาไว้หรือต้องการฆ่าคนเล่น?”
เย่หยวนเอ่ยปากบ่นไม่หยุดเจือโทสะไม่น้อย
หวู่เฉินกล่าวว่า
“ห้วงมิติแห่งความโกลาหลแห่งนี้อันตรายเป็นอย่างยิ่ง แต่ในเมื่อมีจุดเริ่มต้นก็ต้องมาจุดปลายเช่นกัน หากเจ้าค้นพบจุดสิ้นสุดของที่แห่งนี้ได้ เจ้าจะเปิดโลกทัศน์ครั้งใหม่!”
เย่หยวนพยักหน้าและกล่าวว่า
“ข้าเข้าใจสิ่งที่ท่านต้องการจะสื่อดี แต่จุดจบที่ว่าช่างหายากเย็นเสียเหลือเกิน กล่าวมักง่ายกว่าทำเสมอ”
หวู่เฉินยิ่มและกล่าวว่า
“เจ้าคิดหรือว่า แนวคิดแห่งห้วงมิติจะจับจ้องกันได้ง่ายดุจผักกะหล่ำปลี? ผู้ที่เข้าใจแนวคิดแห่งห้วงมิติล้วนแต่เป็นอัจฉริยะหนึ่งในล้าน แม้เจ้าจะสามารถอนุมานในความคิดจนเข้าใจแนวคิดแห่งห้วงมิติได้ แต่เจ้าก็ทราบดีว่านั้นเป็นเพียงเศษเสี้ยว ต่อให้ตายก็ไม่สามารถทำความเข้าใจต่อแนวคิดได้ง่ายๆ”
เมื่อได้ฟังคำกล่าวของหวู่เฉินไปแบบนั้น เย่หยวนก็คล้ายกับนึกอะไรบางอย่างขึ้นมาได้ในทันใด
“ผู้อาวุโส เมื่อครู่ท่านกล่าวว่าอย่างไร?”
เย่หยวนเอ่ยสวนกลับไปทันทีอย่างตื่นอกตื่นเต้น
หวู่เฉินกล่าวตอบไปว่า
“ข้าบอกว่า ต่อให้ตายก็ไม่สามารถทำความเข้าใจได้ง่ายๆ”
เย่หยวนโบกมือปัดและกล่าวว่า
“ไม่ใช่! ไม่ใช่! ก่อนหน้าประโยคนั้น!”
หวู่เฉินเกาหัวแกรกแสนมึนงง ครุ่นคิดเล็กน้อยก่อนเอ่ยตอบไปว่า
“ข้ากล่าวไปว่า แม้เจ้าจะสามารถอนุมานในความคิดจนเข้าใจแนวคิดแห่งห้วงมิติได้ แต่นั่นก็เป็นเพียงเศษเสี้ยว เจ้ามีปัญหาอันใดรึ?”
เย่หยวนตบต้นขาตัวเองฉะใหญ่ อุทานลั่นด้วยความดีใจ
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: จอมเทพโอสถ
DDD...