เช้าตรู่วันรุ่งขึ้น หยุนถิงกับจวินหย่วนโยวรับประทานมื้อเช้าเสร็จ หยุนถิงช่วยใส่ยาให้รั่วจิ่ง ถึงได้ตามหลิงเฟิงไปพบหยุนหลิง
จวินหย่วนโยวจัดการให้นางอาศัยอยู่ในบ้านของชาวนาครอบครัวหนึ่ง หยุนถิงยังอดรู้สึกนับถือไม่ได้ มิน่าก่อนหน้านี้นางจ้าวส่งคนไปตามหา ถึงหาไม่พบ
“ฮูหยิน ก่อนหน้านี้ผู้ชายของครอบครัวนี้ก็ติดตามซื่อจื่อเช่นกัน ต่อมาได้รับบาดเจ็บขาพิการไปข้างหนึ่ง ดังนั้นซื่อจื่อจึงมอบเรือนให้เขาไปหนึ่งหลัง ตอนนี้มีเมียมีลูกแล้ว ทั้งครอบครัวก็ใช้ชีวิตกันอย่างสุขสบายดี” หลิงเฟิงอธิบาย
“ที่แท้ก็เป็นเช่นนี้นี่เอง” หยุนถิงเดินตามหลิงเฟิงเข้าไป
เป็นเรือนที่ธรรมดามาก มีสี่ห้องทางทิศเหนือ มีห้องด้านข้างสองห้องทั้งสองฝั่ง มุมกำแพงด้านหนึ่งยังปลูกแตงกว่ากับถั่วเอาไว้เล็กน้อย เรียบง่ายอย่างมาก
เด็กผู้หญิงอายุห้าหกขวบคนหนึ่งกำลังนั่งอยู่กับหยุนหลิงบนเก้าอี้หิน ดูเหมือนว่าหยุนหลิงจะกำลังสอนนางเขียนหนังสืออยู่
หยุนหลิงในเวลานี้ไม่มีกิริยาเกินงามและอวดดีเหมือนในเวลาปกติ ตรงกันข้ามกลับมีความเรียบง่ายเพิ่มขึ้นมาเล็กน้อย ติดดินอย่างมาก หยุนถิงมองด้วยความประหลาดใจ
“คำนับฮูหยิน ฮูหยินเชิญเข้ามาโดยเร็วเถิด” ชายหนุ่มอายุยี่สิบกว่าคนหนึ่งกล่าวอย่างกระตือรือร้น คิ้วดกหนาดวงตากลมโต ใบหน้าเด็ดเดี่ยวแน่วแน่
“ฮูหยิน เขาคือโจวเซิน” หลิงเฟิงแนะนำ
“พี่โจวไม่ต้องเกรงใจ ข้ามาเพื่อเยี่ยมหยุนหลิง” หยุนถิงตอบ
โจวเซินชะงักงันไป ถึงแม้จะไม่เคยเห็นหยุนถิงมาก่อน แต่ก็เคยได้ยินเรื่องราวของนางมาไม่น้อย เพียงแต่คิดไม่ถึงว่า ทันทีที่พบหน้ากันคุณหนูหยุนจะเกรงใจเช่นนี้ ยังเรียกตัวเองว่าพี่ ทำให้เขารู้สึกตกใจไม่น้อยจริงๆ
หยุนหลิงที่อยู่ในลานได้ยินเสียงนี้ เงยหน้าขึ้นมาเห็นว่าเป็นหยุนถิง ก็ตกใจจนสีหน้าซีดขาวในชั่วพริบตา คนทั้งคนประหม่าอย่างมาก
“พี่ใหญ่ ท่านมาทำอะไร?”
หยุนถิงเดินไปทางนาง: “ข้ากลัวว่าน้องหญิงรองจะไม่คุ้นชินกับการอยู่ที่นี่ ก็เลยมาดูหน่อย ถ้าอย่างไรข้ารับเจ้าไปที่จวนซื่อจื่อดีไหม?”
“ไม่ต้องแล้วพี่ใหญ่ ข้าเคยชินมากแล้ว พี่โจวกับพี่สะใภ้โจวดีต่อข้ามาก ข้าเคยชินมากเป็นพิเศษเลย ไม่รบกวนพี่ใหญ่แล้ว” เสียงของหยุนหลิงสั่นสะท้านไปหมด แสดงให้เห็นว่าหวาดกลัวหยุนถิงมาก
“ไม่รบกวนหรอก จวนซื่อจื่อสถานที่ใหญ่โตขนาดนั้น มีเจ้าเพิ่มขึ้นมาอีกหนึ่งคนก็ไม่มากหรอก ชีวิตของพี่โจวก็ไม่ได้ดีเท่าไหร่ เจ้าจะมากินมาอยู่ที่นี่เปล่าๆตลอด ก็ไม่ค่อยดีเท่าไหร่ใช่ไหม” หยุนถิงจงใจกล่าวออกมา
หยุนหลิงดึงปิ่นปักผมที่อยู่บนศีรษะลงมาอย่างตื่นตระหนก ยื่นให้กับโจวเซินด้วยความเคารพนบนอบ: “พี่โจวท่านดูสิว่าอันนี้พอหรือไม่ ถ้าหากไม่พอข้าสามารถทำงานได้ ยังสามารถสอนหนังสือ และงานเย็บปักถักร้อยให้กับฮวนฮวนด้วย------”
ใบหน้าของโจวเซินเต็มไปด้วยความลำบากใจ มองไปทางหยุนถิงโดยสัญชาตญาณ
“เมื่อเป็นเช่นนี้ น้องหญิงรองก็อยู่ต่อไปอย่างสบายใจเถอะ เห็นเจ้ารู้เหตุรู้ผลเช่นนี้ข้าก็วางใจแล้ว” หยุนถิงกล่าวจบ หันหลังก็จากไป
หลิงเฟิงกับโจวเซินรีบตามไปทันที เมื่อออกจากประตู หยุนถิงก็หยิบปิ่นปักผมอันนั้นออกมาจากมือของโจวเซิน
“ระยะนี้ต้องรบกวนพี่โจวดูแลน้องหญิงรองแล้ว ไม่ต้องเห็นนางเป็นแขกดูแลอย่างดีหรอก มีงานอะไรก็ให้นางทำ ไม่ต้องเกรงใจนาง ฝึกฝนนางหน่อยก็ดีเหมือนกัน” หยุนถิงออกคำสั่ง
“ขอรับ ข้าจะจำเอาไว้”
บนรถม้า
หยุนถิงเล่นปิ่นปักผมที่อยู่ในมือ ราวกับกำลังครุ่นคิดอะไรอยู่
“ฮูหยิน จะส่งปิ่นปักผมอันนี้ไปในคุกหรือไม่?” หลงเอ้อถาม
“เจ้าส่งคนไปรับตัวหยุนเสี่ยวลิ่วมา ข้าจะพาเขาเข้าวังไปพบนางจ้าว หยุนเสี่ยวลิ่วคือชีวิตจิตใจของนางจ้าว เห็นลูกชายของตัวเองนางก็จะรู้ว่าควรต้องทำอย่างไร” หยุนถิงตอบ
หลงเอ้อยังอดอุทานด้วยความชื่นชมไม่ได้: “ฮูหยิน ท่านช่างเก่งกาจจริงๆ”
ไม่นานนัก องครักษ์ของจวนซื่อจื่อก็รับตัวหยุนเสี่ยวลิ่วมา เมื่อได้ยินว่าพี่ใหญ่หาเขา ถึงแม้บนใบหน้าของหยุนเสี่ยวลิ่วจะไม่พอใจ แต่ในใจกลับดีใจอย่างมาก พี่ใหญ่ต้องทำอะไรอร่อยๆอีกแน่นอน
เป็นเช่นนั้นจริงๆ พ่อบ้านยกชาเนยจามจุรี แล้วก็โยเกิร์ตก้อนชีสเข้ามามากมาย หยุนเสี่ยวลิ่วกินด้วยความพึงพอใจอย่างยิ่ง
จากนั้นเขาก็เห็นเสี่ยวอันจื่อที่กำลังฝึกกระบี่อยู่ไม่ไกลออกไป ท่าทางเป็นรูปเป็นร่าง หยุนเสี่ยวลิ่วซึ่งเดิมทีกำลังมีอารมณ์กินอย่างเอร็ดอร่อยจู่ๆก็รู้สึกว่าโยเกิร์ตก้อนชีสนี่ไม่อร่อยแล้ว
หยุนเสี่ยวลิ่วลุกขึ้นแล้วเดินเข้าไป: “เสี่ยวอันจื่อ กระบี่ที่อยู่ในมือเจ้าดูไม่เลวหนิ ได้มาจากไหน?”
“นี่คือกระบี่ที่คุณหนูหยุนสั่งให้คนทำให้ข้าโดยเฉพาะ นางบอกว่าข้าเป็นเด็ก กระบี่ของผู้ใหญ่มันใหญ่เกินไปข้าไม่สามารถใช้ได้ ดังนั้นจึงให้คนทำอันเล็กให้ข้า” เสี่ยวอันจื่อตอบ
ใบหน้าของหยุนเสี่ยวลิ่วเคร่งขรึมทันที: “พี่ใหญ่คนนี้ ถึงกับให้คนนอกอย่างเจ้า ก็ไม่ให้ข้า ช่างลำเอียงจริงๆ”
“คุณชายหกท่านอย่าเข้าใจผิด คุณหนูใหญ่ก็ทำให้ท่านหนึ่งเล่มเช่นกัน ตอนนั้นทำไปทั้งหมดสองเล่ม แต่คุณหนูใหญ่บอกว่าท่านไม่ฝึกกระบี่ ไม่ได้ใช้ ดังนั้นก็เลยไม่ได้ให้ท่าน” เสี่ยวอันจื่ออธิบาย
“ใครบอกว่าข้าไม่ฝึกกระบี่ เสี่ยวอันจื่อ เราสองคนมาประลองกันดูไหม?”
“ดีเลย แต่ถ้าหากข้าทำให้ท่านบาดเจ็บจะทำอย่างไร?” เสี่ยวอันจื่อกล่าวเสียงเบา
“น้อยๆหน่อย ข้าเป็นถึงลูกชายของเฉิงเซี่ยง จะถูกเจ้าทำให้บาดเจ็บได้อย่างไร ถึงแม้จะทำให้ข้าบาดเจ็บข้าก็ไม่โทษเจ้าหรอก” หยุนเสี่ยวลิ่วกล่าวอย่างภาคภูมิใจ
“ตกลง เช่นนั้นท่านใช้กระบี่ของข้าแล้วกัน” เสี่ยวอันจื่อยื่นกระบี่ยาวในมือของตัวเองไปให้
หยุนเสี่ยวลิ่วก็ไม่เกรงใจเขาเช่นกัน รับกระบี่ยาวเข้ามาก็ทำท่าทำทางขึ้นมา อย่าว่าไป กระบี่นี่ไม่เลวจริงๆ
เพียงแต่ว่าเขายังสู้กับเสี่ยวอันจื่อไม่ถึงสามกระบวนท่า ก็ถูกเสี่ยวอันจื่อแย่งกระบี่ไป และพาดกระบี่ไว้ที่คอของเขาโดยตรง
“คุณชายหก ท่านแพ้แล้ว!”
คนทั้งคนของหยุนเสี่ยวลิ่วตะลึงงันไป ทำไมเขาถึงมีความรู้สึกว่ายังไม่ทันได้เริ่ม ก็จบแล้วล่ะ จู่ๆก็รู้สึกได้รับความกระทบกระเทือนจิตใจทันที หลายวันก่อนเจ้าหมอนี่ยังสู้ตัวเองไม่ได้แท้ๆ
“พี่ใหญ่ข้าให้เคล็ดวิชาเจ้าใช่ไหม ทำไมจู่ๆเจ้าถึงได้เก่งกาจขนาดนี้?”
“ช่วงที่ผ่านมานี้ข้าฝึกฝนกับองครักษ์ในจวนตลอด ฝึกทั้งกลางวันและกลางคืน ท่านดูผิวหนังฝ่ามือของข้าสิเป็นหนังหนาไปหมดแล้ว” เสี่ยวอันจื่อยื่นมือเข้ามา
หยุนเสี่ยวลิ่วมองดูหนังหนาและแผลพุพองบนฝ่ามือของเขา อดที่จะสูดลมหายใจเข้าลึกๆเฮือกหนึ่งไม่ได้ แค่มองดูก็รู้สึกเจ็บแล้ว
“เจ้าไม่เจ็บหรือ ทำไมถึงได้โง่เช่นนี้?”
“ข้าเจ็บ แต่ว่าข้าต้องอดทน เพราะข้าไม่อยากจะเป็นขอทานไปตลอดชีวิต ผู้ที่สามารถทนต่อความทุกข์ที่สาหัสสากัยส์ได้ ถึงจะได้เป็นคนเหนือคน วันหน้าข้าจะเป็นแม่ทัพใหญ่รับใช้ราชสำนัก ดังนั้นข้าต้องทุ่มเทเป็นสองเท่า” เสี่ยวอันจื่อกล่าวอย่างหนักแน่น
มองดูขอทานตัวน้อยที่อยู่ตรงหน้า เขาเป็นลูกชายของเฉิงเซี่ยงแท้ๆ แต่ในนาทีนี้ หยุนเสี่ยวลิ่วกลับมีความรู้สึกน้อยเนื้อต่ำใจเพิ่มขึ้นมาเล็กน้อยอย่างอธิบายไม่ถูก
เขากินดีอยู่ดีมาตั้งแต่เด็ก ถูกเลี้ยงดูมาอย่างทะนุถนอมเอาใจ นึกว่าทุกสิ่งทุกอย่างนี้ล้วนเป็นเรื่องสมควรอยู่แล้ว แต่เวลานี้เผชิญหน้ากับเสี่ยวอันจื่อที่อยู่ตรงหน้า ขอทานคนหนึ่งยังมีปณิธานเช่นนี้ แล้วเขาล่ะ?”
“เสี่ยวลิ่วมาแล้ว ไปกันเถอะ เราเข้าวังกัน” หยุนถิงกล่าวพร้อมเดินเข้ามา
“ได้” หยุนเสี่ยวลิ่วติดตามนางไป
บนรถม้า หยุนเสี่ยวลิ่วไม่พูดอะไรเลยสักคำ ยังคงนึกถึงคำพูดของเสี่ยวอันจื่อเมื่อครู่นี้
หยุนถิงไม่พูดอะไรสักคำ อันที่จริงการประลองของหยุนเสี่ยวลิ่วกับเสี่ยวอันจื่อเมื่อครู่นี้นางเห็นอยู่ในสายตาทั้งหมด ในเวลาปกติเจ้าหมอนี่ถูกปกป้องเอาไว้ดีเกินไป หยิ่งผยองและกำเริบเสิบสานเกินไป ถึงเวลาทำให้เขารู้จักตัวเองอย่างประจักษ์ชัดแล้ว
เมื่อถึงพระราชวัง หยุนถิงก็พาเสี่ยวลิ่วไปเข้าเฝ้าฝ่าบาท บอกว่าเสี่ยวลิ่วต้องการพบนางจ้าว ฮ่องเต้ย่อมไม่มีเหตุต้องคัดค้านอยู่แล้ว ให้ซูกงกงพาพวกเขาไปที่คุก
ในคุก
นางจ้าวที่เดิมทีกำลังได้ใจอยู่ คิดอยู่ว่าจะสับหยุนถิงเป็นหมื่นๆชิ้นอย่างไร แต่แล้วเมื่อเห็นหยุนถิงพาลูกชายของตัวเองเข้ามา ก็ตกใจแทบแย่ทันที
“หยุนถิง เจ้าคิดจะทำอะไรกันแน่ อย่าทำร้ายเสี่ยวลิ่วนะ?”
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: จอมนางข้ามพิภพ
อัพต่อด้วยจ้า...
รอตอนต่อจ้า...
แต่ละบทที่่อ่านแล้ว ควรมีสีหรือเครื่องหมายที่แตกต่างกัน ผู้อ่านจะได้ทราบว่าเรืื่องนี้อ่านไปถึงบทไหนแล้ว...
รำคานโฆษณาที่เลื่อนเข้ามา เข้าใจได้ว่าต้องหารายได้ แต่ควรนำไปวางไว้ด้านล่างสุด ไม่ด้านซ้ายก็ด้านขวา จะได้ไม่เสียอารมณ์ในการอ่าน ปกติโฆษณาที่อยู่ระหว่างหน้าก็ใหญ่และมากอยู่แล้ว...
ขอร้องทงทีมงานช่วยอัพเดทจนจบด้วยนะคะ😭😭😭😭😭...
เรื่องนี้ทางทีมงานจะอัพเดทต่อมั้ยค่ะ😭...
รอตอนใหม่อยู่นะคะ😭🙏🏻...
เมื่อไหร่จะอัพเพิ่มค่ะหายไปเป็นเดือนแล้วนะ...
รอค่ะ ตามเรื่องนี้มานานมาก อัพตอนต่อจาก 1070 ให้หน่อยค่ะ...
สนุกมากค่ะ รออ่านตอนต่อไปอยู่นะคะรบกวนลงต่อให้จบด้วยค่ะ กำลังสนุก...