จอมนางข้ามพิภพ นิยาย บท 682

พระราชวัง

ทันทีที่หยุนถิงกับโม่เหลิ่งเหยียนเข้าประตูวังไป ก็สังเกตเห็นองครักษ์ของพระราชวังเพิ่มขึ้นมากมาย คนพวกนั้นดูเหมือนกำลังปฏิบัติหน้าที่ความจริงคือแอบจับตาดูพวกเขาอย่างลับๆ และการกระทำที่จับกระบี่เอาไว้ เห็นได้ชัดว่าเตรียมตัวจะลงมือทุกเมื่อ

โม่เหลิ่งเหยียนยื่นมือเข้ามา จูงมือของหยุนถิงเอาไว้ ยิ้มให้นางอย่างราบเรียบ ส่งสัญญาณให้นางวางใจ ทั้งสองคนเดินตรงเข้าไปข้างหน้า

เดินออกไปได้ระยะหนึ่ง หยุนถิงได้กลิ่นคาวเลือดจางๆในอากาศ ชำเลืองไปทางลานที่อยู่ด้านข้าง ขันทีน้อยสองสามคนกำลังล้างทำความสะอาดก้อนหินบางก้อนอยู่ ในน้ำยังมีสีเลือดผสมอยู่เล็กน้อย แสดงให้เห็นว่าเมื่อครู่มีคนเสียชีวิตไปหมาดๆ

หยุนถิงมองไปทางโม่เหลิ่งเหยียน กระซิบเสียงเบา “ดูท่าผิงหนานอ๋องควบคุมทั่วทั้งพระราชวังเอาไว้แล้ว!”

“ถูกต้อง ครั้งนี้เกรงว่าคงจะรอดพ้นจากอันตรายได้ยาก อีกเดี๋ยวต้องระวังให้มาก ข้าจะปกป้องเจ้าเอง” โม่เหลิ่งเหยียนตอบ

“ตกลง ท่านก็เหมือนกัน ระวังตัวด้วย”

ด้านหลัง ยังมีขุนนางใหญ่มากมายเร่งเดินทางมา นี่ทำให้หยุนถิงยิ่งงุนงงมากขึ้น

“หรือว่าผิงหนานอ๋องไม่ได้ต้องการจะลงมือกับเราเท่านั้น ยังต้องการสร้างความโกลาหลในราชสำนักด้วย?”

“หากไม่ได้เป็นเช่นนี้ แล้วเขาจะอดทนมานานหลายปีขนาดนี้ไปทำไม ทุกอย่างดำเนินการไปตามสถานการณ์” โม่เหลิ่งเหยียนปลอบโยน

ไม่นานนัก หยุนถิงกับโม่เหลิ่งเหยียนก็มาถึงพระตำหนัก

ในพระตำหนักที่กว้างใหญ่ ฮ่องเต้สวมชุดเต็มยศนั่งตัวตรง ด้านข้างมีขันทีตัวน้อยคนหนึ่งยืนอยู่ ดูแปลกหน้าอย่างมาก

ซ้ายขวามีโต๊ะวางเรียงรายอยู่ บนโต๊ะเต็มไปด้วยอาหารเลิศรสและสุราชั้นเลิศ คล้ายกับงานเลี้ยงต้อนรับมากกว่า และผิงหนานอ๋องก็นั่งอยู่ที่โต๊ะทางฝั่งซ้าย

เมื่อผิงหนานอ๋องเห็นหยุนถิงกับจวินหย่วนโยว สีหน้าเรียบเฉย หางคิ้วกลับเลิกขึ้นมาเล็กน้อยครู่หนึ่ง

“ฝ่าบาทเรียกพบข้ากับซื่อจื่อ ด้วยเรื่องอันใดหรือ?” หยุนถิงกล่าวถามด้วยสีหน้าเย็นชา

“ข้าหมดสติไปหลายวันไม่ง่ายกว่าจะตื่นขึ้นมา ก็เลยให้คนจัดงานเลี้ยงฉลองนี้ขึ้นมา เชิญชวนจวินซื่อจื่อกับซื่อจื่อเฟย ทั้งสองท่านอย่าได้ถือสา” ฮ่องเต้ตรัสอย่างราบเรียบ

“ฝ่าบาทสามารถตื่นขึ้นมาได้ ข้ากับซื่อจื่อก็ดีใจแทนฝ่าบาทเช่นกัน แต่คนที่ฝ่าบาทส่งไปใช้ลูกของข้ามาข่มขู่ หากเราไม่มาก็จะจัดการด้วยการทำสงคราม นี่ก็เป็นคำสั่งฝ่าบาทด้วยหรือ?” หยุนถิงถามกลับ

ขุนนางใหญ่คนอื่นๆที่เข้ามาก็ตกตะลึงอย่างยิ่งในทันที พากันวิพาษ์วิจารณ์เสียงเบา

ทันใดนั้นสีหน้าของฮ่องเต้ดำมืดกะทันหัน “มีเรื่องเช่นนี้ด้วย เด็กๆ ให้ผู้บังคับบัญชากองทัพหลวงมาพบข้า!”

องครักษ์ที่อยู่ด้านนอกพระตำหนักไปเรียกคนทันที ไม่นานนักผู้บังคับบัญชากองทัพหลวงก็มาถึง คำนับด้วยความเคารพนบนอบ “ข้อน้อยคำนับฝ่าบาท”

“เจ้าได้ใช้ลูกของซื่อจื่อเฟยข่มขู่ให้พวกเขามาหรือไม่?” ฮ่องเต้ตรัสถามอย่างเย็นชา

ผู้บังคับบัญชากองทัพหลวงชะงักงัน ฝ่าบาทเป็นคนให้ตัวเองพูดเช่นนี้ไม่ใช่หรือ แต่ต่อหน้าขุนนางบุ๋นบู๊ เขาย่อมไม่สามารถพูดเช่นนี้อยู่แล้ว

“ฝ่าบาท กระหม่อมแค่พูดออกไปโดยไม่ทันได้คิดเท่านั้น”

“พูดโดยไม่ทันได้คิด หากทุกครั้งที่เจ้าไปเชิญคนล้วนพูดเช่นนี้ จะไม่เป็นการจุดชนวนให้เกิดสงครามในสี่แคว้นหรอกหรือ สิ่งที่เจ้าทำคือการสร้างศัตรูให้กับฝ่าบาทนะ!” หยุนถิงกล่าวออกมาอย่างเย็นชา

“ซื่อจื่อเฟยกล่าวถูกต้องแล้ว กองทัพหลวงปากไม่มีหูรูด มีโทษมหันต์ ลากออกไปลงโทษด้วยการโบยห้าสิบที!” ฮ่องเต้บันดาลโทสะ

“ฝ่าบาท ข้าน้อยผิดไปแล้ว!”

องครักษ์สองนายที่อยู่หน้าประตูเข้ามา กุมตัวผู้บังคับบัญชากองทัพหลวงออกไป

“ซื่อจื่อเฟย จวินซื่อจื่อทำไมจะต้องโมโหไปกับผู้บังคับบัญชาแค่คนเดียว ไม่ง่ายที่ฝ่าบาทจะฟื้นขึ้นมา ทุกคนนั่งลงเถอะ” ผิงหนานอ๋องเอ่ยปาก

“ซื่อจื่อ เรานั่งลงเถอะ” หยุนถิงเอ่ยปาก

“ตกลง!”

ผิงหนานอ๋องถูกตอกกลับในทันที สีหน้าไม่น่าดูสุดขีด แต่สิ่งที่จวินหย่วนโยวพูดก็ไม่ผิดจริงๆ

เขาที่เป็นซื่อจื่อแห่งแคว้นต้าเยียน ไม่ได้มีความเกี่ยวข้องใดๆกับฮ่องเต้แห่งแคว้นเทียนจิ่ว ฮ่องเต้จะเป็นหรือตายเขาก็ไม่มองเลยด้วยซ้ำ

ขุนนางคนอื่นๆตกใจจนตัวสั่น จวินซื่อจื่อขึ้นชื่อเรื่องความโหดเหี้ยม ไม่ไว้หน้าใครทั้งนั้น แม้แต่ฮ่องเต้ต้าเยียนก็ยังยำเกรงเขาเล็กน้อย เขาไม่ไว้หน้าผิงหนานอ๋องเช่นนี้ ทุกคนก็ไม่มีใครกล้าพูดอะไรมาก พากันดื่มสุราที่อยู่ในมือนั่นจนหมด

ด้านข้างฮ่องเต้ ดวงตาคู่สวยของมู่เซียวเซียวที่ปลอมตัวเป็นขันทีน้อยมีความโหดเหี้ยมเล็กน้อยแว๊บผ่านไป มือที่อยู่ในแขนเสื้อส่ายไปมาเบาๆ

ฮ่องเต้ที่อยู่บนที่นั่งสูงเอ่ยปากทันที “ผิงหนานอ๋องก็แค่เจตนาดี จวินซื่อจื่ออย่าได้ถือสาเลย ทั้งสองท่านยังโกรธเพราะเรื่องผู้บังคับบัญชากองทัพหลวงเมื่อครู่นี้อยู่อีกใช่ไหม เรื่องนี้เป็นความสะเพร่าของข้าจริงๆ มา ข้าขอดื่มคารวะทั้งสองท่านหนึ่งจอก ถือเป็นการขอโทษทั้งสองท่าน!”

ฮ่องเต้ตรัสพร้อมกันยกถ้วยสุราที่อยู่ตรงหน้าขึ้นมาดื่ม

ทุกคนตกตะลึง คิดไม่ถึงว่าฝ่าบาทของพวกเขาจะถึงกับลดท่าทีลงมา ดื่มคารวะสุราจวินซื่อจื่อกับซื่อจื่อเฟยเช่นนี้ นี่ทำให้ในใจของบรรดาขุนนางโมโหอย่างยิ่ง แต่กลับไม่กล้าพูดอะไรมาก

อย่างไรเสีย ล่วงเกินพญายมก็อย่าได้ล่วงเกินจวินซื่อจื่อ นอกเสียจากว่าพวกเขาต้องการจะตายทั้งเป็น

พูดจนถึงขั้นนี้แล้ว หากหยุนถิงกับโม่เหลิ่งเหยียนยังไม่ดื่มอีก ก็ไม่รู้จักแยกแยะชั่วดีเกินไปแล้ว

“ฝ่าบาทตรัสเช่นนี้ คือจะให้ข้ากับซื่อจื่อดื่มสุราถ้วยนี้ให้ได้เลยสิ ในสุราคงไม่ได้มีพิษหรอกใช่ไหม?” หยุนถิงกล่าวถามอย่างเย็นชา

ทันทีที่คำพูดนี้ออกมา ทุกคนล้วนตกตะลึงอย่างยิ่ง พากันมองมาทางนี้

ฮ่องเต้บันดาลโทสะ “ซื่อจื่อเฟยเจ้าหมายความว่าอย่างไร ข้าเชิญสองท่านกับบรรดาขุนนางมางานเลี้ยง จะวางยาพิษได้อย่างไร เจ้าสงสัยเช่นนี้ วางข้าเอาไว้ตำแหน่งไหน วางแคว้นเทียนจิ่วเอาไว้ตรงไหน?”

“ฝ่าบาทให้คนมาข่มขู่เราก่อน จากนั้นก็ลดท่าทีลงมาดื่มคารวะอีก ขอเพียงเป็นคนก็ล้วนสงสัยกันทั้งนั้น” เสียงที่เยือกเย็นของจวินหย่วนโยวดังมา

“ฝ่าบาท บ่าวยินดีลองชิมสุรา จวินซื่อจื่อกับซื่อจื่อเฟยจะได้วางใจ!” จู่ๆมู่เซียวเซียวที่ปลอมตัวเป็นขันทีก็เอ่ยปากขึ้นมา

ประวัติการอ่าน

No history.

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: จอมนางข้ามพิภพ