ฉินเหมยตกใจ และก็รับรู้ได้ถึงเจตนาของอีกฝ่ายหนึ่งทันที
ฉินเหมยสูดหายใจลึก และพูดขึ้นว่า “คุณพ่อตามหาฉันเหรอ? ”
พ่อบ้านพยักหน้าและพูดว่า “ใช่ เรื่องราวที่เกิดขึ้นที่ตึกจุ้ยซิงนั้นได้ร่ำลือกันไปทั่วแล้ว นายท่านให้ฉันมาเชิญคุณหนูไปพบท่านหน่อย”
ฉินเหมยพูดว่า “ตกลง พวกเราไปกันเถอะ! ”
ที่สนามหลังบ้านของตระกูล
ฉินเหมยเดินตามพ่อบ้านชราเข้าไปในหอ
ผู้อาวุโสผมขาวสีดอกเลาผู้หนึ่ง กำลังนั่งดื่มชาอย่างสงบเงียบอยู่ที่นั่น
เห็นฉินเหมยผลักประตูเข้ามา ผู้อาวุโสก็พูดเบา ๆ ขึ้นว่า “เธอมาแล้วเหรอ! ”
ฉินเหมยพยักหน้า และพูดว่า “คุณพ่อ ท่านตามหาฉันเพื่อต้องการจะพูดคุยเรื่องที่เกิดขึ้นที่ตึกจุ้ยซิงในวันนี้ใช่ไหม? ”
ผู้อาวุโสพูดเบา ๆ ขึ้นว่า “ถูกต้อง เรื่องนี้ เป็นเรื่องที่ไม่เล็ก ท่านจินก็ไม่ใช่ผู้ที่พวกเราจะไปก่อเรื่องกับเขาได้ ดังนั้น จึงอยากจะถามว่าเธอคิดที่จะจัดการอย่างไรต่อไป? ”
ฉินเหมยชะงักไปชั่วครู่ มองไปที่ผู้อาวุโสและพูดขึ้นว่า “แล้วคุณพ่อมีความคิดเห็นว่าอย่างไรล่ะ? ”
ผู้อาวุโสพูดขึ้นว่า “รีบให้ไอ้หนุ่มนั่นออกไปจากตระกูลฉินโดยเร็ว! และกำหนดระยะห่างความสัมพันธ์กับเขาให้ชัดเจน! ”
ผู้อาวุโสเคลื่อนไหวสายตาเล็กน้อย และพูดต่อว่า “ฉันได้รับข่าวสารมาแล้วว่า ท่านจินได้นำเรื่องนี้แจ้งให้กับวิหารผนึกวิญญาณแล้ว อีกไม่นานวิหารผนึกวิญญาณก็จะส่งคนมาจัดการ! ”
“ถึงเวลานั้น คงจะต้องเชื่อมโยงความโกรธแค้นมายังตระกูลฉินของพวกเราด้วย! ”
“เพื่อหลีกเลี่ยงการเข้ามาพัวผันได้รับความเดือดร้อน นี่จึงเป็นวิธีการที่ดีที่สุด! ”
ฉินเหมยขมวดคิ้ว และพูดขึ้นว่า “คุณพ่อ ความเป็นมาของหลินหยุนท่านเองก็เข้าใจเป็นอย่างดี หากให้เขาออกจากตระกูลไปในตอนนี้ ตระกูลฉินของพวกเราจะอธิบายต่อสำนักหยุนเยว่ว่า
อย่างไรล่ะ? ”
เมื่อได้ยินคำว่าสำนักหยุนเยว่ ผู้อาวุโสก็มีสีหน้าท่าทางที่เปลี่ยนไปทันที
และสีหน้าก็หม่นหมองลงไปทันทีด้วยเช่นกัน
เขาส่งเสียงฮึที่หนักและเย็นชา พร้อมกับยืนขึ้นและพูดว่า “จะต้องอธิบายอะไร? ตายไปแล้วก็ตายไปเถอะสิ! ”
“อย่าพูดถึงเลยเพราะยังไงเขาก็ไม่ใช่คนของสำนักหยุนเยว่ ต่อให้เขาเป็นคนของสำนักหยุนเยว่ แล้วจะอย่างไรล่ะ? ”
“เธอจำไว้นะว่า ตระกูลฉินของพวกเราตั้งแต่ที่แม่ของเธอได้เสียชีวิตลงในตอนนั้น ก็ไม่ได้เป็นหนี้บุญคุณอะไรกับสำนักหยุนเยว่อีกแล้ว!”
“สำนักหยุนเยว่แข็งแกร่งก็จริง! แต่ก็ไม่ได้มีความเกี่ยวข้องอะไรกับพวกเรา! ”
เห็นใบหน้าของคุณพ่อเต็มไปด้วยความโศกเศร้า ฉินเหมยก็แอบถอนหายใจ
เธอทราบดีว่า ต่อให้เวลาผ่านไปนานหลายปี แต่ในความจริงคุณพ่อก็ยังไม่ได้ปล่อยวาง
ความโกรธแค้นในใจของคุณพ่อ ล้ำลึกอย่างมาก
ถ้าหากเขามีพลังความสามารถมากพอ เธอไม่สงสัยแม้แต่น้อยเลยว่า......
แต่ นี่คือความคิดที่ยึดมั่นของคุณพ่อของเธอ
ไม่ใช่ของเธอ
สำหรับเรื่องราวที่เกิดขึ้นในตอนนั้น เธอเคยได้ยิน
ไม่เพียงแค่ครั้งเดียว
นั่นไม่ใช่เรื่องราวที่จะแยกแยะได้ว่าถูกหรือผิด มีสีขาวหรือว่าสีดำ
ดังนั้น เธอจึงไม่มีความโกรธแค้นในใจ
เพราะว่าในใจแม่ของเธอเองก็ไม่มีเช่นกัน
ไม่เพียงแต่ไม่มี ต่อให้แม้ว่าตอนที่ใกล้จะจากลาลับไปแล้วนั้น
เธอก็ทราบดีว่าในใจของคุณแม่ก็ไม่มีความโกรธแค้น
แต่กลับเป็นตรงกันข้าม เธอได้กล่าวโทษตัวเองและละอายใจกับเรื่องที่เกิดขึ้นทั้งหมด
ฉินเหมยสูดหายใจลึก และเอ่ยปากพูดขึ้นเงียบ ๆ ว่า “คุณพ่อ ฉันทราบมานานหลายปีว่า ท่านไม่มีความสุข แต่ท่านลองเปลี่ยนมุมมองความคิดดูว่า ถ้าหากคุณแม่ยังมีชีวิตอยู่ เธอจะยินยอมให้ท่านทำแบบนี้ไหม? ”
ผู้อาวุโสแววตาเป็นประกายแวบขึ้นทันที และพูดเสียงแข็งว่า “อย่ามาพูดเรื่องนี้กับฉัน! ฉินเหมย ตอนนี้ฉันไม่ได้กำลังพูดปรึกษากับเธอ! ”
“เธอคิดให้กระจ่างนะว่า แม้ว่าตระกูลฉินต้องการที่จะคุ้มครอง แต่จะเอาอะไรไปปกป้องคุ้มครองไอ้หนุ่มนั้นได้ล่ะ? ”
“ลำพังแค่ตระกูลฉิน จะสามารถต่อกรรับมือกับวิหารผนึกวิญญาณได้เหรอ? ”
“กิจการของตระกูลฉินที่มีอยู่ในปัจจุบันนี้ ล้วนเป็นสิ่งที่แม่ของเธอหลงเหลือเอาไว้ให้ทั้งนั้น! ”
“หรือว่าเธอต้องการที่จะเห็นตระกูลฉินตกอยู่ในสภาพที่ไม่มีทางจะฟื้นกลับคืนมาได้ เพราะเด็กหนุ่มคนหนึ่งที่ไม่มีความสัมพันธ์อะไรกันเลยอย่างนั้นเหรอ? ”
ฉินเหมยกัดฟันแน่น
เธอทราบดีว่า เมื่อยอดฝีมือของวิหารผนึกวิญญาณมาถึง ตระกูลฉินคงไม่สามารถที่จะปกป้องหลินหยุนได้
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: จักรพรรดิเชียนตกสวรรค์
1...
1...
1...
1...
นิยายจีนหลายๆหรือเกือบทุกเรื่องจะจบแบบงง..เหมือนคนแต่งจบไม่เป็น..คือเนื้อเรื่องแต่งไปได้เรื่อยๆแต่หาตอนจบไม่เจอคือถ้าจะจบก็จบแบบงง..หนักสุดน่าจะเรื่องฉินหรังละครับ.ฉินหรังไปสถานที่หนึ่งได้ต้นไม้แล้วโดนระเบิดออกมาอีกทีก็1ปีผ่านไป ไปหาแม่แล้วเปลี่ยนชื่อเลยครับ จงหยู่นางเอกต้นเรื่องหายไปเลย ฉินหรังได้กลับนางฟ้า ผมนี้งงเลยคนแต่งน่าจะเมาแฟบนะ...
จบแบบงงๆครับ...