เห็นเถ้าแก่จางแห่งหอไป่เต้า รวมถึงฉีเยว่ผู้อาวุโสเก้าแห่งสำนักเทียนหยุน ต่างก็มากันที่หอเครื่องรางทิพย์ ทำให้ผู้บำเพ็ญฝึกฝนทั้งหลายก็มากันที่ร้านแห่งนี้ด้วย
เพื่อต้อนรับลูกค้าที่มากันทีละกลุ่มทีละกลุ่ม ซิงเฟยจึงตัดสินใจเขียนประกาศขึ้นไว้เลย
ไม่ต้องถามราคา เพียงแค่นำสมบัติมาแลกเปลี่ยน
เมื่อเป็นแบบนี้ ก็ไม่ต้องพูดคุยอะไรมากมายแล้ว
ผู้ที่เข้ามาในร้านหลังจากที่เห็นป้ายแล้ว ก็ถอยหลังกลับออกไปกันหมด
ซิงเฟยนำเก้าอี้เอนหลัง มานั่งเอนหลังอยู่ที่หน้าร้าน โดยสุขสบายใจอย่างที่สุด ก็เพราะไม่ต้องทำอะไร
แต่หลังจากนั้น ซิงเฟยก็เขียนป้ายอีกหนึ่งแผ่นขึ้นแล้ววางไว้ที่หน้าประตู
รับหลอมเครื่องรางทิพย์ตามต้องการ
ไม่ว่าจะเป็นชั้นต้น ชั้นกลาง หรือว่าชั้นสูง และชั้นยอด ก็ได้ทั้งหมด
เพียงแค่แลกเปลี่ยนด้วยสมบัติทั่วฟ้าดิน
เมื่อประกาศนี้ได้แพร่กระจายออกไป ก็ยิ่งทำให้เป็นที่ครึกโครมไปทั่ว
ชื่อของหอเครื่องรางทิพย์นี้ก็ได้แพร่กระจายโด่งดังไปทั่วทั้งเมืองเทียนหยุนแล้ว
ผู้บำเพ็ญฝึกฝนแทบจะทุกคนต่างก็พากันวิพากษณ์วิจารณ์ถึงหอเครื่องรางทิพย์นี้ ว่าไม่สะดุดตาแต่กลับคุยโวโอ้อวดอย่างที่สุด
มีผู้คนมาดูจำนวนมาก ผู้คนที่สอบถามก็ไม่น้อย
เดิมทีซิงเฟยรู้สึกว่าสบายผ่อนคลายมาก แต่สองวันติดกัน กลับไม่ผ่อนคลายเท่าไรแล้ว
ส่วนทางหลินหยุนนั้น ก็ไม่มีความเคลื่อนไหวอะไร ยังคงบำเพ็ญฝึกฝนอย่างต่อเนื่อง
ต่อให้ตอนนี้มีสมบัติที่สามารถใช้หลอมยาได้ แต่เขาก็หลอมไม่ได้ เพราะยังไม่เพียงพอที่จะทำการหลอมยาขั้นที่สาม
แน่นอนว่า พูดขึ้นเฉพาะสำหรับตัวเขาเองเท่านั้น
วันที่เก้าที่หอเครื่องรางทิพย์ได้เปิดร้านขึ้น
ช่วงกลางดึก ชายผอมบางคนหนึ่ง ในชุดคลุมสีดำและสวมงอบบนศีรษะ ได้เดินเข้ามาในร้าน
ผ้าคลุมดำปิดหน้า มองไม่ชัดถึงลักษณะหน้าตาที่แท้จริง
ซิงเฟยกำลังที่จะปิดร้าน ฝ่ายตรงข้ามก็พลันเดินเข้ามา
ซิงเฟยหันขวับ มองไปที่ฝ่ายตรงข้ามทันที
“หอเครื่องรางทิพย์ของคุณสามารถหลอมเครื่องรางทิพย์ชั้นยอดตามต้องการได้ใช่ไหม? ”
ฟังเสียงพูดแล้ว น่าจะเป็นชายวัยกลางคน น้ำเสียงทุ้มต่ำ หรือจะพูดว่าน้ำเสียงหม่นหมอง และเสียงแหลม
ลำพังแค่ได้ฟัง ก็รู้สึกถึงความหนาวเหน็บ
ซิงเฟยพูดขึ้นว่า “สามารถสั่งหลอมได้ตามต้องการ แต่จะต้องมีสมบัติทั่วฟ้าดินที่มีระดับเพียงพอ ไม่อย่างนั้นหอเครื่องรางทิพย์ก็จะไม่รับ”
ชายชุดดำพูดขึ้นว่า “สมบัติไม่ใช่ปัญหา! แต่ถ้าหากหลอมผิดพลาดจะทำอย่างไร? ”
ซิงเฟยพูดขึ้นว่า “ง่ายมาก ชดใช้คืนสิบเท่า! ”
ชายชุดดำได้ยินดังนั้น ก็พลันส่งเสียงฮึอย่างเย็นชา “ชดใช้คืนสิบเท่า? คุณแน่ใจเหรอว่า หอเครื่องรางทิพย์ของคุณจะชดใช้คืนไหว? ”
ซิงเฟยพูดขึ้นอย่างไม่เกรงใจว่า “เรื่องนี้คุณไม่ต้องกังวล หอเครื่องรางทิพย์ของเราหลอมเครื่องรางดั่งกับกินข้าวดื่มน้ำง่ายดายขนาดนั้น ก็แค่เครื่องรางทิพย์ชั้นยอดชิ้นหนึ่งเท่านั้น ในสายตาของพวกเราแล้ว ไม่นับประสาอะไร! ”
เมื่อพูดแบบนี้ออกมา ซิงเฟยเองก็เหยียดหยามตัวเองเหมือนกัน
คำพูดนี้ มันช่างโอ้อวดอย่างยิ่ง
เครื่องรางทิพย์ชั้นยอดไม่นับประสาอะไร และไหนจะบอกว่าการหลอมเครื่องรางเหมือนกับกินข้าวดื่มน้ำง่ายดายขนาดนั้นอีก
ช่างเก่งกาจเสียยิ่งกว่าอะไร
แต่ก็ไม่มีทาง เพราะอยู่ด้วยกันกับหลินหยุน จึงทำให้เธอมีความรู้สึกแบบนี้ขึ้นจริง ๆ
คนอื่นบางทีอาจจะมีอัตราการหลอมเครื่องรางที่สำเร็จได้ไม่สูงนัก บางคนอาจจะสิ้นเปลืองเวลาและแรงกายอย่างมากในการหลอมเครื่องราง
แต่สิ่งเหล่านี้ ในตัวของหลินหยุนแล้ว เธอเองไม่เห็นอะไรสักอย่างเลย
ชายในชุดดำพยักหน้าเล็กน้อย และพูดขึ้นว่า “ตกลง สิ่งที่คุณพูดฉันจำเอาไว้หมดแล้ว! ”
พูดจบ ชายชุดดำนั้นก็หันหลังแล้วหายวับไปในทันที
ซิงเฟยเองก็ไม่ได้ใส่ใจ
สามวันหลังจากนั้น ในช่วงกลางดึกเหมือนเดิม
ชายชุดดำมาที่ร้านอีกครั้ง และนำวัตถุดิบออกมาสิบกว่าชนิด อีกทั้งได้เขียนประเภทของเครื่องรางทิพย์ที่ตนเองต้องการทั้งหมดเอาไว้
แต่ซิงเฟยก็ยังสงบนิ่งอยู่ ฝ่ายตรงข้ามมีประวัติที่มาไม่ชัดเจน จึงต้องระมัดระวังเอาไว้บ้าง
ซิงเฟยไม่ได้เข้าไปดูวัตถุดิบและความต้องการของฝ่ายตรงข้าม โดยพูดขึ้นว่า “ขอถามท่านหน่อยนะว่า คิดที่จะใช้สมบัติล้ำค่าชนิดใดเป็นสิ่งตอบแทน! ”
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: จักรพรรดิเชียนตกสวรรค์
1...
1...
1...
1...
นิยายจีนหลายๆหรือเกือบทุกเรื่องจะจบแบบงง..เหมือนคนแต่งจบไม่เป็น..คือเนื้อเรื่องแต่งไปได้เรื่อยๆแต่หาตอนจบไม่เจอคือถ้าจะจบก็จบแบบงง..หนักสุดน่าจะเรื่องฉินหรังละครับ.ฉินหรังไปสถานที่หนึ่งได้ต้นไม้แล้วโดนระเบิดออกมาอีกทีก็1ปีผ่านไป ไปหาแม่แล้วเปลี่ยนชื่อเลยครับ จงหยู่นางเอกต้นเรื่องหายไปเลย ฉินหรังได้กลับนางฟ้า ผมนี้งงเลยคนแต่งน่าจะเมาแฟบนะ...
จบแบบงงๆครับ...