จักรพรรดิเชียนตกสวรรค์ นิยาย บท 1313

สรุปบท บทที่ 1313 ยังไม่ลงมือ: จักรพรรดิเชียนตกสวรรค์

ตอน บทที่ 1313 ยังไม่ลงมือ จาก จักรพรรดิเชียนตกสวรรค์ – ความลับ ความรัก และการเปลี่ยนแปลง

บทที่ 1313 ยังไม่ลงมือ คือตอนที่เปี่ยมด้วยอารมณ์และสาระในนิยายใช้ชีวิต จักรพรรดิเชียนตกสวรรค์ ที่เขียนโดย จูผาซู่ เรื่องราวดำเนินสู่จุดสำคัญ ไม่ว่าจะเป็นการเปิดเผยใจตัวละคร การตัดสินใจที่ส่งผลต่ออนาคต หรือความลับที่ซ่อนมานาน เรียกได้ว่าเป็นตอนที่นักอ่านรอคอย

หลินหยุนในสายตาของเธอแล้ว

มีสภาพท่าทางที่หยิ่งยโสมาโดยตลอด แม้ว่าจะไม่ได้แสดงตัวว่าโอ้อวดโอหังมากมายอะไร แต่มักจะควบคุมกำหนดทุกสิ่งทุกอย่างได้ในมือของตนเอง

ไม่มีผู้ใดที่เขาจะมองด้วยสายตาที่เคารพเลื่อมใส

เพราะว่าไม่มีผู้ใดที่มีคุณสมบัติแบบนี้

แต่ในเวลานี้

หลินหยุนเหมือนจะถึงขั้นที่หมดสิ้นหนทางแล้วจริง ๆ

เธอเคยได้กล่าวเตือนเขาไปแล้วหลายครั้ง่า อย่าได้มาเปิดเผยสถานะตัวตนแท้จริงที่นี่

ไม่อย่างนั้นคงอาจจะถึงตายได้

แต่ก็คาดคิดไม่ถึงว่า

จะตรงกับคำที่ตัวเองได้พูดเอาไว้

หลินหยุนยิ้มอย่างจำใจ และมองไปที่ซินเฟย

แต่เขาก็ไม่ได้เอ่ยปากพูดอะไร

ขณะนี้ถูกยอดฝีมือสี่คนรุมล้อม ดูแล้วเหมือนจะต้องตายสถานเดียว

แต่ในขณะนั้นเอง

เขากลับหัวเราะขึ้นอย่างกะทันหัน

ในขณะที่เขาหัวเราะ ร่างกายของเขาก็เริ่มที่จะสั่นไหวอย่างรุนแรงขึ้นอีกครั้ง

ยอดฝีมือทั้งสี่คนได้เห็นดังนั้นก็โมโหขึ้นโดยพลัน

ผู้อาวุโสสี่แห่งสำนักกวางยักษ์ก็ได้ตวาดใส่ว่า “หลินชางฉอง แกไอ้ปีศาจ วันนี้ถึงวันตายของแกแล้ว จนถึงตอนนี้ ยังจะมาหัวเราะอีกเหรอ? ”

หลินหยุนสูดหายใจลึก พร้อมกับมองไปยังฝ่ายตรงข้ามอย่างไร้เรี่ยวแรง และพูดขึ้นว่า “พวกนายทั้งสี่คน เตรียมพร้อมหรือยังว่าใครจะเป็นคนตายก่อน? ”

เมื่อพูดอย่างนี้ออกมา ก็ทำให้ยอดฝีมือทั้งสี่คนมีสีหน้าที่แปรเปลี่ยนไปในทันที

นี่ถือว่าเป็นเรื่องใหญ่จริง ๆ ด้วย

อย่าได้มองว่าหลินหยุนเป็นแหนที่อยู่ในทะเล เหมือนจะอ่อนแอไม่มีแรงพลังต้านทาน

แต่ว่าพวกเขากลับไม่กล้าที่จะเบาใจได้อย่างเด็ดขาด

การตายของผู้อาวุโสสามเมื่อครู่นั้น ก็เป็นตัวอย่างให้เห็นกันอยู่อย่างชัดเจน

ถ้าหากหลินหยุนสู้อย่างสุดกำลัง เกรงว่าพลังบำพ็ญของพวกเขา ก็คงจะไม่มีใครสามารถต้านทานได้

ถ้าหากพวกเขาลงมือ หลินหยุนก็คงจะเลือกต่อสู้กับใครสักคนหนึ่งอย่างเต็มที่

โดยที่ใครต่างก็ไม่อยากเป็นผู้โชคร้ายคนนั้น

นี่ก็คือเหตุผลที่แม้ว่าพวกเขาทั้งสี่คนจะโอบล้อมหลินหยุนเอาไว้ แต่กลับไม่มีใครเริ่มลงมือโจมตี

ทั้งสี่คนจ้องมองสบตาซึ่งกันและกัน

ยอดฝีมือตระกูลป๋ายที่มาจากเมืองกวางยักษ์นั้นพูดขึ้นว่า “ทำอย่างไรกันดี? เขาสามารถที่จะทำการโจมตีอย่างสุดกำลังครั้งสุดท้ายได้อีก! ”

“หรือไม่อย่างนั้น......”

“พวกเราไม่ลงมือก่อน รอให้ยอดฝีมือสำนักเทียนหยุนและสำนักอริยสัจมาถึงกันก่อนดีไหม? ”

“สำนักอริยสัจอาจจะเดินทางมาถึงช้าหน่อย แต่ทางสำนักเทียนหยุนใกล้จะเดินทางมาถึงแล้ว! ”

“เมื่อยอดฝีมือสำนักเทียนหยุนมาถึงแล้ว พวกเราก็ไม่ต้องไปเสี่ยงอันตรายอีก! ”

เมื่อเขาพูดจบลง ยอดฝีมือตระกูลจางที่มาจากเมืองกวางยักษ์เช่นกันนั้นก็ส่ายศีรษะและพูดขึ้นว่า “ไม่เหมาะสม เพราะไม่ใช่เรื่องง่ายเลยที่ตอนนี้ไอ้คนชั่วนี้จะไม่มีพลังการต่อสู้อีกแล้ว! ”

“ถ้าหากพวกเราลงมือจัดการกับเขาได้ ก็ถือว่าได้พยายามกระทำอย่างที่สุดแล้ว! ”

“แต่ตรงกันข้ามหากรอให้ยอดฝีมือสำนักเทียนหยุนมาถึง ส่วนพวกเรากลับไม่ได้ลงมือทำอะไรเลย แล้วจะไปได้รับผลประโยชน์อะไรล่ะ? ”

“แม้แต่เพียงเล็กน้อยก็คงจะไม่ได้รับ! ”

“อีกทั้ง อิทธิฤทธิ์ปาฏิหาริย์ที่ไอ้หนุ่มนี้ได้แสดงออกมาก่อนหน้านี้นั้น พวกเราก็เคยเห็นกันแล้ว! ”

“ทุกท่านล้วนเป็นยอดฝีมือที่ท่องตระเวนไปทั่วโลกคุนชางมาเป็นเวลาช้านาน ไม่ทราบว่ามีใครเคยพบเห็นอิทธิฤทธิ์ปาฏิหาริย์ที่น่าสะพรึงกลัวแบบนี้บ้างไหม? ”

“จนถึงขณะนี้แล้ว ไอ้หนุ่มนี้ยังไม่มีผู้อารักขาใดปรากฏตัวขึ้นเลย ฉันคาดเดาว่า ไอ้หนุ่มนี้คงจะได้รับการสืบทอดอันน่าสะพรึงกลัวนี้มาจากโบราณ จึงทำให้มีพลังบำเพ็ญที่น่าสะพรึงกลัวมากขนาดนี้ได้! ”

“หรือว่าทุกท่านจะไม่สนใจวิชาการสืบทอดอันแข็งแกร่งไร้เทียมทานนี้เลยอย่างนั้นเหรอ? ”

“แต่เมื่อรอให้สำนักเทียนหยุนหรือสำนักอริยสัจมาถึง แล้วจะไปหลงเหลือโอกาสของพวกเราได้อย่างไร? ”

กี่คนนั้นต่างก็ขมวดคิ้ว

พูดได้ถูกต้องเลย

คำพูดนี้ ได้แทงทะลุเข้าไปถึงจิตใจของพวกเขา

อะไรที่เรียกว่าคำขอบคุณของสำนักกวางยักษ์ มิตรภาพความสัมพันธ์ของสำนักเทียนหยุน และผลประโยชน์จากสำนักอริยสัจ

ฉวี่เทียนซินยังไม่ทันได้ตั้งตัวเลยแม้แต่น้อย ก็พลันตะโกนร้องขึ้น แล้วก็ตกลงมาจากกลางอากาศในทันที

เงาดำจับตัวซินเฟยเอาไว้ จากนั้นก็มายังที่หลินหยุนในบริเวณที่ยอดฝีมือทั้งสี่คนกำลังโอบล้อม

เวลานี้ หน้าตาของเขา ก็ได้ปรากฏออกมา

เขาคือชายหนุ่มคนหนึ่ง ในชุดคลุมสีดำ และมีหมวกใบใหญ่แขวนไว้ที่ด้านหลัง มองดูแล้วน่าจะมีอายุประมาณยี่สิบปีต้น ๆ

สัญลักษณ์ที่เด่นชัดที่สุดของเขาคือหัวล้าน สว่างแวววาว

ชายหนุ่มชุดดำได้นำตัวซินเฟยโยนไปไว้ที่ด้านข้างของหลินหยุน

มุมปากเผยรอยยิ้มขึ้นเล็กน้อย พร้อมกับมองไปที่หลินหยุนและพูดขึ้นว่า “ฉันนึกว่านายยังจะมีวิธีการอื่นอีก! จึงกำลังเตรียมตัวดูต่อไป”

หลินหยุนส่ายศีรษะเล็กน้อย

เวลานี้ ผู้คนที่มองดูอยู่โดยรอบ ต่างก็พากันตื่นตะลึงไปหมด

ใครก็คาดคิดไม่ถึงว่า สถานการณ์จะเปลี่ยนแปลงไปแบบนี้

ชายหนุ่มหัวล้านชุดดำคนนี้คือใคร?

ในสมองของทุกคน ต่างก็ผุดเครื่องหมายคำถามขนาดใหญ่ขึ้น

“คนผู้นี้เป็นใครกัน? มีความสัมพันธ์อะไรกับปีศาจหลินชางฉองคนนี้? ”

“ลมหายใจในตัวของคนผู้นี้ก็ทรงพลังไร้เทียมทาน อีกทั้งยังมีอายุน้อย โลกใบนี้ตกลงเกิดอะไรขึ้นกันแน่? หรือว่าอัจฉริยะผู้เก่งกาจจะมีอยู่ไปทั่วทุกหนทุกแห่งแล้ว? ”

“เขาคือใครกันแน่? ”

ชายหนุ่มชุดดำหัวเราะเหอะเหอะ กวาดสายตามองไปทั่วท้องฟ้า จากนั้นก็เกาหู และพูดขึ้นว่า “ฉันต้องการจะเอาสิ่งของชิ้นหนึ่งจากร่างของเขา ซึ่งเขาเองก็ตกลงกับฉันไว้แล้ว”

“ดังนั้น วันนี้พวกนายคงจะไม่สามารถสังหารเขาได้แล้ว! ”

“ทุกท่าน พวกเราค่อยพบกันใหม่”

เมื่อเขาพูดจบลง ลำแสงสีทองก็พัดโหมขึ้น แล้วห่อหุ้มร่างของหลินหยุนกับซินเฟยในทันที และพริบตาเดียวก็หลบหนีไปไกล

ยอดฝีมือทั้งสี่คนเห็นดังนั้น ก็พากันตกตะลึง ยอดฝีมือตระกูลจางคนนั้นก็พลันตะโกนขึ้นว่า “ไล่ตามไป อย่าให้หลินชางฉองหลบหนีไปได้! ”

ทันใดนั้น เงาร่างทั้งสามคนก็ได้ไล่ตามไป

ส่วนผู้อาวุโสสี่ของสำนักกวางยักษ์ได้ยุติการไล่ล่า แล้วก็เหาะเหินไปยังบริเวณด้านล่างที่ฉวี่เทียนซินตกลงไป

จากนั้นก็มียอดฝีมืออีกหลายคนได้ทยอยตามกันมา

ประวัติการอ่าน

No history.

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: จักรพรรดิเชียนตกสวรรค์