ทั้งสองคนนั่งรถเมฆไปยังทิศตะวันตกเฉียงใต้ต่อ
ยิ่งมุ่งไปข้างหน้าเท่าไหร่ ก็ยิ่งเจอคนมากขึ้นเท่านั้น
ไม่นานก็จะสัมผัสได้ถึงกลิ่นอายแกร่งกล้าที่เหาะเหินเดินอากาศ
และก็มีผู้บำเพ็ญเซียนจำนวนไม่น้อยเกาะกลุ่มกันมุ่งไปข้างหน้า
ดูเหมือนว่ายิ่งใกล้เวลางานประลองยุทธเก้าสำนักเท่าใด ผู้คนที่มาดูก็ยิ่งมากขึ้นเท่านั้น
ที่ชายขอบทะเลกวางยักษ์แห่งนี้
ทิวทัศน์เองก็นับว่ามีความเป็นเอกลักษณ์ไม่น้อย
มองดูแล้วรกร้างว่างเปล่า ทว่าไม่ว่าใครที่อยู่แดนสวรรค์มานาน ก็คงไม่พ้นที่จะรู้สึกเบื่อและเอียน
มีผู้บำเพ็ญเซียนไม่น้อยที่นั่งรถเมฆไปเหมือนหลินหยุนและซิงเฟย
เพียงแต่คนเหล่านี้ก็ยังมีจำนวนน้อยมากอยู่ดี
ผู้บำเพ็ญเซียนส่วนใหญ่ ล้วนแต่เหาะเหินเดินอากาศไปทั้งนั้น
กี่วันผ่านไป
เพียงอีกนิดก็จะถึงสถานที่งานประลองยุทธเก้าสำนักแล้ว
ระหว่างทาง ทั้งสองก็ได้พบกับชายหนุ่มผู้บำเพ็ญเซียนคนหนึ่งที่กำลังจะไปร่วมชมพิธี
คนคนนี้ชื่อโจวฮ่าว
อายุก็ประมาณยี่สิบต้นๆ
พลังบำเพ็ญใกล้เคียงกับซิงเฟย ต่างก็อยู่ในขั้นแดนฝึกพลังระยะหลังที่ยาทองยังไม่ถูกหล่อหลอมขึ้น
ตามที่เจ้าตัวเล่ามา ชายหนุ่มคนนี้มาจากตระกูลเล็กหนึ่งที่อยู่ทางตอนตะวันตกเฉียงเหนือ
เมื่อไม่กี่เดือนที่ผ่านมาเขาได้หนีออกจากบ้านมาเพียงลำพัง มาเข้าร่วมงานประลองยุทธเก้าสำนักเพื่อเปิดโลก
คนคนนี้เรียกได้ว่าไม่มีประสบการณ์การเดินทางด้านนอกเลยเสียจริง
เห็นหลินหยุนและซิงเฟยนั่งรถมา ก็พลันวิ่งตามเข้ามาหาทันที
ยังดีที่พวกเขาเป็นหลินหยุนและซิงเฟย ถ้าเป็นคนอื่น เกรงว่าคงจะลงมือฆ่าไปเสียแล้ว
เพราะนี่เป็นเรื่องต้องห้าม
ทว่าแม้ว่าคนคนนี้จะปากมากไปหน่อย แถมยังเป็นกันเองจนเกินเหตุ แต่หลินหยุนและซิงเฟยก็ไม่ได้ใส่ใจนัก
ทั้งสามคนจึงเกาะกลุ่มกันไปยังสถานที่งานประลองยุทธเก้าสำนักด้วยกัน
ตลอดการเดินทาง โจวฮ่าวคนนี้เอาแต่คุยโวไม่หยุด หลินหยุนไม่สนใจ แต่ซิงเฟยกลับพูดขัดเปิดโปงเขาอยู่บ่อยครั้ง
เพียงแต่แม้ความลับจะถูกเปิดเผย แต่โจวฮ่าวก็ไม่ได้ใส่ใจมากนัก
บรรยากาศอึดอัดเพียงชั่วครู่ เขาก็คุยโวเรื่องอื่นต่อ
สองวันนี้ ซิงเฟยก็รู้สึกหมดความสนใจ ไม่ฟังที่เจ้าหมอนี่คุยโวอีก โจวฮ่าวก็จึงหันมาพูดกับหลินหยุนโดยไม่หยุดแทน
“พี่หลิน นี่อย่าหาว่าฉันพูดโม้นะ”
“ถ้าไม่ใช่เพราะตาเฒ่าบ้านฉันคอยจับตาดูอยู่ตลอด ไม่งั้นด้วยพรสวรรค์ของฉัน หน้าตาของฉัน เสน่ห์ของฉัน กะแค่บุตรอริยสัจแห่งสำนักอริยสัจ หรือจะหวงฉาว หรือนิ่งเป่ยเฉินอะไรนั่นก็เทียบฉันไม่ติดเลยด้วยซ้ำ!”
หลินหยุนไม่ตอบ
ผ่านมาหลายวัน เขาเองก็เริ่มชินเสียแล้ว
ครั้งก่อนก็เป็นเพราะซิงเฟยรู้สึกเบื่อ ก็เลยตอบตกลงจะไปด้วยกันสามคน
เขาเองก็ไม่ได้มีความเห็นอะไร
หลายวันมานี้ เขาก็ไม่ได้พูดอะไรที่ไม่จำเป็นด้วย
จะมาขับไสไล่ส่งเอาป่านนี้ก็คงจะไม่ได้
เห็นหลินหยุนไม่ตอบอะไร โจวฮ่าวเองก็ไม่ใส่ใจนัก ยังคงพูดโวน้ำลายกระเซ็นว่า “นี่ดูสิ ฉันพูดขนาดนี้พี่ก็ยังไม่เชื่ออยู่ดี ฉันจะแอบเล่าให้ฟังนะ ตอนที่ฉันยังเด็ก ก็คือตอนเพิ่งเกิด มีปรมาจารย์ท่านหนึ่งเคยทำนายดวงชะตาให้ฉันด้วยล่ะ”
“ท่านบอกว่าดวงวาสนาฉันดีมากๆ!”
"เมื่อโตขึ้นแล้วก็จะได้เป็นบุคคลไร้เทียมทานที่มีชื่อเสียงกึกก้องไปทั่วหล้าโลกคุนชางเชียวนะ”
“พ่อฉันยังบอกกับฉันอีกนะ”
“ว่าตอนพิธีจับเสี่ยงทายครบขวบปีของฉัน ของที่วางอยู่ตรงหน้าฉันมีเป็นพันชิ้น แต่ตอนนั้นฉันจับของเพียงชิ้นเดียว”
“ของที่เก่งกาจที่สุด”
“ฮิฮิ พี่หลิน แม่นางซิง พวกพี่อยากรู้ไหม ว่าฉันจับได้อะไร”
หลินหยุนหลับตานั่งสมาธิต่อไป
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: จักรพรรดิเชียนตกสวรรค์
1...
1...
1...
1...
นิยายจีนหลายๆหรือเกือบทุกเรื่องจะจบแบบงง..เหมือนคนแต่งจบไม่เป็น..คือเนื้อเรื่องแต่งไปได้เรื่อยๆแต่หาตอนจบไม่เจอคือถ้าจะจบก็จบแบบงง..หนักสุดน่าจะเรื่องฉินหรังละครับ.ฉินหรังไปสถานที่หนึ่งได้ต้นไม้แล้วโดนระเบิดออกมาอีกทีก็1ปีผ่านไป ไปหาแม่แล้วเปลี่ยนชื่อเลยครับ จงหยู่นางเอกต้นเรื่องหายไปเลย ฉินหรังได้กลับนางฟ้า ผมนี้งงเลยคนแต่งน่าจะเมาแฟบนะ...
จบแบบงงๆครับ...