จักรพรรดิเชียนตกสวรรค์ นิยาย บท 1331

สรุปบท บทที่ 1331 การเดินทางของคนสามคน: จักรพรรดิเชียนตกสวรรค์

บทที่ 1331 การเดินทางของคนสามคน – ตอนที่ต้องอ่านของ จักรพรรดิเชียนตกสวรรค์

ตอนนี้ของ จักรพรรดิเชียนตกสวรรค์ โดย จูผาซู่ ถือเป็นช่วงเวลาสำคัญของนิยายใช้ชีวิตทั้งเรื่อง ด้วยบทสนทนาทรงพลัง ความสัมพันธ์ของตัวละครที่พัฒนา และเหตุการณ์ที่เปลี่ยนโทนเรื่องอย่างสิ้นเชิง บทที่ 1331 การเดินทางของคนสามคน จะทำให้คุณอยากอ่านต่อทันที

ทั้งสองคนนั่งรถเมฆไปยังทิศตะวันตกเฉียงใต้ต่อ

ยิ่งมุ่งไปข้างหน้าเท่าไหร่ ก็ยิ่งเจอคนมากขึ้นเท่านั้น

ไม่นานก็จะสัมผัสได้ถึงกลิ่นอายแกร่งกล้าที่เหาะเหินเดินอากาศ

และก็มีผู้บำเพ็ญเซียนจำนวนไม่น้อยเกาะกลุ่มกันมุ่งไปข้างหน้า

ดูเหมือนว่ายิ่งใกล้เวลางานประลองยุทธเก้าสำนักเท่าใด ผู้คนที่มาดูก็ยิ่งมากขึ้นเท่านั้น

ที่ชายขอบทะเลกวางยักษ์แห่งนี้

ทิวทัศน์เองก็นับว่ามีความเป็นเอกลักษณ์ไม่น้อย

มองดูแล้วรกร้างว่างเปล่า ทว่าไม่ว่าใครที่อยู่แดนสวรรค์มานาน ก็คงไม่พ้นที่จะรู้สึกเบื่อและเอียน

มีผู้บำเพ็ญเซียนไม่น้อยที่นั่งรถเมฆไปเหมือนหลินหยุนและซิงเฟย

เพียงแต่คนเหล่านี้ก็ยังมีจำนวนน้อยมากอยู่ดี

ผู้บำเพ็ญเซียนส่วนใหญ่ ล้วนแต่เหาะเหินเดินอากาศไปทั้งนั้น

กี่วันผ่านไป

เพียงอีกนิดก็จะถึงสถานที่งานประลองยุทธเก้าสำนักแล้ว

ระหว่างทาง ทั้งสองก็ได้พบกับชายหนุ่มผู้บำเพ็ญเซียนคนหนึ่งที่กำลังจะไปร่วมชมพิธี

คนคนนี้ชื่อโจวฮ่าว

อายุก็ประมาณยี่สิบต้นๆ

พลังบำเพ็ญใกล้เคียงกับซิงเฟย ต่างก็อยู่ในขั้นแดนฝึกพลังระยะหลังที่ยาทองยังไม่ถูกหล่อหลอมขึ้น

ตามที่เจ้าตัวเล่ามา ชายหนุ่มคนนี้มาจากตระกูลเล็กหนึ่งที่อยู่ทางตอนตะวันตกเฉียงเหนือ

เมื่อไม่กี่เดือนที่ผ่านมาเขาได้หนีออกจากบ้านมาเพียงลำพัง มาเข้าร่วมงานประลองยุทธเก้าสำนักเพื่อเปิดโลก

คนคนนี้เรียกได้ว่าไม่มีประสบการณ์การเดินทางด้านนอกเลยเสียจริง

เห็นหลินหยุนและซิงเฟยนั่งรถมา ก็พลันวิ่งตามเข้ามาหาทันที

ยังดีที่พวกเขาเป็นหลินหยุนและซิงเฟย ถ้าเป็นคนอื่น เกรงว่าคงจะลงมือฆ่าไปเสียแล้ว

เพราะนี่เป็นเรื่องต้องห้าม

ทว่าแม้ว่าคนคนนี้จะปากมากไปหน่อย แถมยังเป็นกันเองจนเกินเหตุ แต่หลินหยุนและซิงเฟยก็ไม่ได้ใส่ใจนัก

ทั้งสามคนจึงเกาะกลุ่มกันไปยังสถานที่งานประลองยุทธเก้าสำนักด้วยกัน

ตลอดการเดินทาง โจวฮ่าวคนนี้เอาแต่คุยโวไม่หยุด หลินหยุนไม่สนใจ แต่ซิงเฟยกลับพูดขัดเปิดโปงเขาอยู่บ่อยครั้ง

เพียงแต่แม้ความลับจะถูกเปิดเผย แต่โจวฮ่าวก็ไม่ได้ใส่ใจมากนัก

บรรยากาศอึดอัดเพียงชั่วครู่ เขาก็คุยโวเรื่องอื่นต่อ

สองวันนี้ ซิงเฟยก็รู้สึกหมดความสนใจ ไม่ฟังที่เจ้าหมอนี่คุยโวอีก โจวฮ่าวก็จึงหันมาพูดกับหลินหยุนโดยไม่หยุดแทน

“พี่หลิน นี่อย่าหาว่าฉันพูดโม้นะ”

“ถ้าไม่ใช่เพราะตาเฒ่าบ้านฉันคอยจับตาดูอยู่ตลอด ไม่งั้นด้วยพรสวรรค์ของฉัน หน้าตาของฉัน เสน่ห์ของฉัน กะแค่บุตรอริยสัจแห่งสำนักอริยสัจ หรือจะหวงฉาว หรือนิ่งเป่ยเฉินอะไรนั่นก็เทียบฉันไม่ติดเลยด้วยซ้ำ!”

หลินหยุนไม่ตอบ

ผ่านมาหลายวัน เขาเองก็เริ่มชินเสียแล้ว

ครั้งก่อนก็เป็นเพราะซิงเฟยรู้สึกเบื่อ ก็เลยตอบตกลงจะไปด้วยกันสามคน

เขาเองก็ไม่ได้มีความเห็นอะไร

หลายวันมานี้ เขาก็ไม่ได้พูดอะไรที่ไม่จำเป็นด้วย

จะมาขับไสไล่ส่งเอาป่านนี้ก็คงจะไม่ได้

เห็นหลินหยุนไม่ตอบอะไร โจวฮ่าวเองก็ไม่ใส่ใจนัก ยังคงพูดโวน้ำลายกระเซ็นว่า “นี่ดูสิ ฉันพูดขนาดนี้พี่ก็ยังไม่เชื่ออยู่ดี ฉันจะแอบเล่าให้ฟังนะ ตอนที่ฉันยังเด็ก ก็คือตอนเพิ่งเกิด มีปรมาจารย์ท่านหนึ่งเคยทำนายดวงชะตาให้ฉันด้วยล่ะ”

“ท่านบอกว่าดวงวาสนาฉันดีมากๆ!”

"เมื่อโตขึ้นแล้วก็จะได้เป็นบุคคลไร้เทียมทานที่มีชื่อเสียงกึกก้องไปทั่วหล้าโลกคุนชางเชียวนะ”

“พ่อฉันยังบอกกับฉันอีกนะ”

“ว่าตอนพิธีจับเสี่ยงทายครบขวบปีของฉัน ของที่วางอยู่ตรงหน้าฉันมีเป็นพันชิ้น แต่ตอนนั้นฉันจับของเพียงชิ้นเดียว”

“ของที่เก่งกาจที่สุด”

“ฮิฮิ พี่หลิน แม่นางซิง พวกพี่อยากรู้ไหม ว่าฉันจับได้อะไร”

หลินหยุนหลับตานั่งสมาธิต่อไป

โจวฮ่าวได้ยินดังนั้นก็พลันเอ่ยอย่างได้ใจว่า “มันจะไปยากอะไร พวกพี่คงจะคิดสินะว่าตระกูลโจวก็เป็นแค่ตระกูลธรรมดาที่ดูไม่ได้มีอำนาจใหญ่โตอะไร”

“แต่จริงๆแล้ว ตระกูลโจวพวกฉันเป็นตระกูลที่สืบทอดกันมาตั้งแต่สมัยโบราณกาลเชียวนะ!”

“ถ้าให้พูดถึงตำนานลับในโบราณกาลแล้วล่ะก็ คาดว่าทั้งโลกคุนชางนี่ก็คงไม่มีใครรู้ดีรู้ลึกไปกว่าตระกูลโจวเราอีกแล้ว!”

“ฉันที่เป็นทายาทสายตรงของตระกูลโจว รู้เรื่องเล็กน้อยแค่นี้มันจะไปมีอะไรให้น่าแปลกใจกัน?”

ซิงเฟยเผยแววตาไหววูบ พลันเอ่ยอย่างไม่ค่อยเชื่อว่า “พูดจรงหรือพูดเล่น? ตระกูลโจวของพวกนาย เป็นตระกูลที่สืบทอดต่อกันมาตั้งแต่โบราณกาลจริงๆเหรอ?”

โจวฮ่าวเอ่ยอย่างภูมิใจว่า “มันก็ต้องแน่นอนอยู่แล้ว เรื่องแบบนี้ฉันจะไปพูดเล่นได้ยังไงกัน? หลังสงครามโบราณกาล เผ่าพันธุ์นับหมื่นต่างเสียหายถดถอยตัวลง กระทั่งผ่านไปนานนับหลายปี จนในที่สุดเผ่าพันธุ์มนุษย์ก็กลับมาพัฒนาขึ้นอีกครั้ง”

“แล้วก็ค่อยๆยิ่งใหญ่เหมือนอย่างในทุกวันนี้”

“รู้ไหมว่าทำไมโลกคุนชางถึงไม่ปรากฏผู้เพ็ญเซียนจิตปฐมแม้แต่คนเดียว?”

ซิงเฟยชะงักกึก พลันลุกขึ้นมาเอ่ยทันทีว่า “นายรู้?”

โจวฮ่าวยิ้มเสียงเหอะๆ แล้วเอ่ยด้วยท่าทางลึกลับว่า “ฉันก็ต้องรู้แน่นอนอยู่แล้ว นี่คือเรื่องที่ลึกลับที่สุดแห่งโลกคุนชางเชียวนะ ฉันจะบอกให้ละกัน ว่าแม้แต่เก้าสำนักเอง อย่าเห็นพวกเขาดูท่าทางพึ่งพาได้เชียว แต่เรื่องลับแบบนี้ พวกเขาเองก็ยังไม่รู้ด้วยซ้ำ”

ซิงเฟยรีบเอ่ยทันควันว่า “งั้นนายบอกมาซะสิ ว่าทำไมโลกคุนชางถึงไม่มีผู้บำเพ็ญเซียนจิตปฐม!”

โจวฮ่าวเอ่ยว่า “ที่จริงเรื่องแบบนี้ไม่ควรเอามาพูดไปทั่วด้วยซ้ำ แต่ในเมื่อเราเป็นเพื่อนกัน งั้นพูดไปก็ไม่เป็นอะไรหรอก เพียงแต่ ที่ฉันเล่าให้พวกพี่ฟังในวันนี้ พวกพี่ห้ามเอาไปบอกคนอื่นเด็ดขาดเชียวนะ!”

ซิงเฟยเอ่ยเสียงหงุดหงิดว่า “เลิกพล่ามสักที บอกมาเร็วสิว่าทำไมกัน!”

โจวฮ่าวยิ้มเหอะๆ เอ่ยว่า “นั่นก็เป็นเพราะว่า โลกคุนชางของพวกเรา แท้จริงแล้วเป็นดินแดนต้องสาปยังไงล่ะ”

“ตำนานเกี่ยวกับคำสาป เคยได้ยินกันมาก่อนใช่ไหม?”

“นั่นไม่ใช่เรื่องโกหก!”

“จากที่เล่าขานกันมา ยามโบราณกาล มีเผ่าพันธุ์หนึ่งที่เก่าแก่และแข็งแกร่งมากๆ มีชื่อว่าเผ่าสาปฟ้า”

“พวกเขาไม่ใช่เผ่ามนุษย์”

“ท้ายที่สุด เผ่ามนุษย์ที่ถูกนำโดยจักรพรรดิหวงตี้และหยานตี้ ได้ก่อสงครามชนเผ่าที่นำโดยชือโหยว!”

“สงครามในครั้งนั้นสะเทือนไปทั่วฟ้าดิน ผืนโลกถล่มเสียหาย”

“จนในที่สุดก็ได้รับชัยชนะ”

“ทว่า เผ่ามนุษย์เราเอง ก็ต้องคำสาปของเผ่าสาปฟ้านั่น!”

ประวัติการอ่าน

No history.

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: จักรพรรดิเชียนตกสวรรค์