สองเยว่ได้ยินดังนั้นก็แค่นเสียงขำอีกครั้ง เธอหันไปมองเสิ่นฉง เอ่ยว่า “เสิ่นฉง ไม่ว่าจะผ่านไปนานเท่าไหร่ เธอก็ยังคงโง่เขลา จองหอง และทะนงตนแบบนี้อยู่วันยังค่ำ ในหัวสมองมีแต่น้ำไม่มีเนื้อเลยสักนิด!”
“นิสัยอย่างเธอ ถ้าไม่ใช่เพราะอยู่ในสำนักอริยสัจ ลองเปลี่ยนเป็นสำนักอื่นดูสิ เกรงว่าหญ้าบนหลุมศพเธอป่านนี้คงไม่ได้สูงแค่สามฉื่อแน่ ๆ!”
“อย่างเธอเนี่ยนะจะฆ่าฉันได้?”
“เสิ่นฉง เธอไปเอาความมั่นใจมาจากไหนกัน?”
“หรือจะเป็นเจ้าสำนักอริยสัจ ที่หลายปีมานี้ แม้จะถูกเธอปั่นหัวเล่นอยู่ในกำมือ แต่ก็ยังคงยืนอยู่หลังเธอมาโดยตลอดงั้นหรือ?”
“ไม่อาจไม่พูดได้เลยว่า สมองของเธอ แม้ในด้านอื่นๆแทบจะเรียกได้ว่าโง่เขลาเบาปัญญา ทว่าต่อหน้าศิษย์พี่ที่เห็นเธอสำคัญเยี่ยงชีวิตคนนี้ กลับฉลาดขึ้นมาทันตาอย่างไม่น่าเชื่อ!”
“เหอะๆ เรื่องราวบนโลกนี้ ก็มักจะน่าพิศวงแบบนี้แหละ!”
“เธออยากฆ่าฉันไม่ใช่เหรอ?”
“งั้นดี ฉันจะให้โอกาสเธอสักครั้ง!”
“ฉันและเธอต่างมีพลังบำเพ็ญแดนยาทองระดับแปด ณ ตอนนี้เองก็ได้รับบาดเจ็บกันทั้งคู่!”
“ฉันให้เธอมาฆ่าฉัน ใครจะรอดหรือจะตายก็อยู่ที่ดวงชะตา!”
“เธอกล้าไหม?”
พูดเสร็จ สองเยว่ก็มองไปยังเจ้าสำนักอริยสัจ เอ่ยว่า “เจ้าสำนักอริยสัจ ท่านจะอนุญาตหรือไม่? หรือควรจะถามว่า ท่านจะทำใจยอมรับได้หรือเปล่า?”
เจ้าสำนักอริยสัจไม่เผยสีหน้าใดๆ เพียงปริปากเอ่ยเสียงเบาว่า “สหายสองเยว่ ศิษย์น้องฉันบาดเจ็บหนักกว่าเธอ เหตุใดจึงต้องทำถึงขนาดนี้?”
“ยิ่งไปกว่านั้น ที่เรามาในวันนี้ จุดประสงค์หลักคือเพื่อมารร้ายหลินชางฉอง”
“แม้ฉันจะไม่รู้ว่าทำไมหลินชางฉองนั่นถึงเป็นเจ้าพระคุณของสำนักเธอได้”
“ทว่าก็ยังรู้ ว่าตลอดเวลาที่ผ่านมานานนับไม่ถ้วน สำนักหยุนเยว่นั้น ไม่เคยมีผู้บำเพ็ญเซียนชายแม้เพียงคนเดียว!”
“แต่หลินชางฉองนี่กลับเป็นเจ้าพระคุณของสำนัก นับว่าเป็นเรื่องที่น่าประหลาดใจยิ่งนัก”
“อีกอย่าง นอกจากช่วงที่ผ่านมา สำนักหยุนเยว่ก็ไม่เคยมีคนผู้นี้ปรากฏขึ้นมาก่อน”
“ดูเหมือนว่าคนผู้นี้จะไม่ได้เติบโตมากับสำนักหยุนเยว่สินะ!”
“ถ้าอย่างงั้น ก็ไม่น่าจะมีมีความเกี่ยวข้องกับสำนักหยุนเยว่ลึกซึ้งถึงขนาดนั้น!”
“สหายสองเยว่ ฉันว่า สำนักหยุนเยว่มอบตัวมารร้ายนั่นมาเสียเถอะ วันนี้ฉันไม่ได้จะมาลงมือกับสำนักหยุนเยว่ ก็หวังว่าสหายสองเยว่เองจะไม่บีบบังคับเราด้วยเช่นกัน”
สองเยว่ไม่มีเจตจำนงจะเอ่ยอะไรกับเจ้าสำนักอริยสัจ เธอละสายตากลับมามองเสิ่นฉงอีกครั้ง พลันเหยียดยิ้มเย้ยหยัน เอ่ยว่า “เป็นไง? ศิษย์พี่เธอคนนี้ ไม่ว่ายังไงก็ไม่อาจทำใจปล่อยเธอไปได้จริงๆ!”
เสิ่นฉงโกรธเกรี้ยวถึงขีดสุด ตวาดเสียงเหี้ยมว่า “ถ้าจะสู้ก็มาซะ ฉันจะคอยดู ว่าวันนี้ฉันกับเธอใครกันแน่ที่จะต้องตาย!”
พูดเสร็จ กระบี่ยาวในมือเธอก็พลันปลดปล่อยพลังออกมาทั้งหมด ก่อนจะฟาดฟันไปที่สองเยว่อย่างฉุนเฉียว ทันใดนั้น กลิ่นอายที่แสนเย็นเยือกก็สำแดงออกมา
ฟ้าดินเสมือนถูกแช่แข็งในพริบตา
นกฟินิกซ์น้ำแข็งปรากฏขึ้นกลางอากาศ กระบี่น้ำแข็งนับหมื่นเล่มพลันพุ่งตรงไปยังสองเยว่
สองเยว่ยืนอยู่เหนือหมอกขาว เห็นดังนั้นก็ทำเสียงเย็นขึ้นจมูก ก่อนที่ผ้าขาวบนแขนจะถูกปล่อยออกไปประหนึ่งงูสีเงิน
ผ้าขาวของสองเยว่กวาดล้อมทั่วทุกสารทิศ อุณหภูมิทั่วฟ้าดินลดต่ำลงอีกครั้ง
ทว่า กลิ่นอายยะเยือกทั้งสอง กลับแตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง
“โครม---“
ผ้าขาวพันขดอยู่บนตัวนกฟินิกซ์น้ำแข็งในทันที
แผดเสียงระเบิดลั่นฟ้าสะเทือนดิน
ชั่ววินาทีที่นกฟินิกซ์น้ำแข็งแหลกสลาย เสิ่นฉงก็ร้องเสียงเจ็บปวด ก่อนจะกระอักเลือดและเผยสีหน้าซีดเซียวลง ส่วนอีกด้านหนึ่ง เฉินฉางเฟิงก็มาที่ข้างกายเธอทันที พร้อมพาเสิ่นฉงออกไปจากที่เดิม
สองเยว่เองก็เก็บผ้าขาว ไม่ได้ตามไปโจมตีต่อ
เธอมองไปที่เสิ่นฉงอีกครั้ง เอ่ยว่า “พลังบำเพ็ญแค่นี้ ฉันเคยบอกไปแล้ว ว่าถ้าไม่ใช่เพราะอยู่ในสำนักอริยสัจ หญ้าบนหลุมศพเธอก็สูงเกินสามฉื่อไปนานแล้ว! เจ้าคนไร้ประโยชน์! อ่อนหัดไม่ได้เรื่อง!”
เธอทำใจไว้แล้ว มากสุดก็แค่ตาย ดังนั้นก็จึงไม่คิดจะเผื่อใจอะไรอีก
กระทั่งเอ่ยวาจาที่เดิมทีไม่ใช่สิ่งที่เธอจะพูดออกมาเลยไม่น้อยด้วยซ้ำ
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: จักรพรรดิเชียนตกสวรรค์
1...
1...
1...
1...
นิยายจีนหลายๆหรือเกือบทุกเรื่องจะจบแบบงง..เหมือนคนแต่งจบไม่เป็น..คือเนื้อเรื่องแต่งไปได้เรื่อยๆแต่หาตอนจบไม่เจอคือถ้าจะจบก็จบแบบงง..หนักสุดน่าจะเรื่องฉินหรังละครับ.ฉินหรังไปสถานที่หนึ่งได้ต้นไม้แล้วโดนระเบิดออกมาอีกทีก็1ปีผ่านไป ไปหาแม่แล้วเปลี่ยนชื่อเลยครับ จงหยู่นางเอกต้นเรื่องหายไปเลย ฉินหรังได้กลับนางฟ้า ผมนี้งงเลยคนแต่งน่าจะเมาแฟบนะ...
จบแบบงงๆครับ...