จักรพรรดิเชียนตกสวรรค์ นิยาย บท 140

สรุปบท บทที่ 139 อย่าทำเกินไป ต้องรู้จักใจกว้างให้อภัย: จักรพรรดิเชียนตกสวรรค์

สรุปตอน บทที่ 139 อย่าทำเกินไป ต้องรู้จักใจกว้างให้อภัย – จากเรื่อง จักรพรรดิเชียนตกสวรรค์ โดย จูผาซู่

ตอน บทที่ 139 อย่าทำเกินไป ต้องรู้จักใจกว้างให้อภัย ของนิยายใช้ชีวิตเรื่องดัง จักรพรรดิเชียนตกสวรรค์ โดยนักเขียน จูผาซู่ เต็มไปด้วยจุดเปลี่ยนสำคัญในเรื่องราว ไม่ว่าจะเป็นการเปิดเผยปม ตัวละครตัดสินใจครั้งสำคัญ หรือฉากที่ชวนให้ลุ้นระทึก เหมาะอย่างยิ่งสำหรับผู้อ่านที่ติดตามเนื้อหาอย่างต่อเนื่อง

บทที่ 139 อย่าทำเกินไป ต้องรู้จักใจกว้างให้อภัย

พี่เฟิงเดินไปข้างหน้าอย่างรวดเร็ว เดิมทีระยะทางห่างออกไปไม่กี่เมตร พี่เฟิงถึงกับวิ่งเหยาะๆไปตลอดทาง

จะเห็นได้ว่า ในใจพี่เฟิงตื่นเต้นขนาดไหน

เดิมทีหลู่สุ่ยเซิงคิดว่าพี่เฟิงจะตะโกนด่าหลินหยุนก่อน แล้วเบ่งอำนาจ

เพียงแต่ว่า พอพี่เฟิงเดินไปยืนต่อหน้าหลินหยุนระยะห่างหนึ่งเมตร จากนั้นก็โค้งคำนับด้วยความเคารพ “ลูกน้องนายท่านเจี่ยงอะเฟิงขอคำนับคุณหลิน!”

วินาทีนี้ ทุกคนตะลึง!

ทุกคนในสถานที่ต่างเงียบสงบ!

ทุกคนคิดว่าหลินหยุนผู้เย่อหยิ่งมีแนวโน้มที่จะไม่มีชีวิตรอด ไม่คาดคิดว่าแผนการจะตาลปัตรเร็วขนาดนี้!

หยวนหยวนที่ยืนอยู่ข้างหลังหลินหยุน พึมพำกับตัวเอง “หลิน คุณหลิน? หลินหยุนเป็นแค่บริกรไม่ใช่หรือ?”

พี่โล่โล่เป็นคนที่เห็นโลกภายนอกมาเยอะ ในไม่ช้าก็ตั้งสติได้ เธอไม่ได้แสดงอารมณ์มากนัก แต่ไม่ว่าเธอจะระงับอารมณ์อย่างไร เธอก็ไม่สามารถควบคุมหัวใจที่เต้นอย่างรุนแรง

พี่โล่โล่มองหลินหยุนจากด้านข้าง มองชายหนุ่มคนนี้ที่ถ่อมตน แม้จะดูทื่อๆเล็กน้อย

ดูเหมือนว่าวันนี้ พึ่งจะรู้จักเขาเป็นครั้งแรก

คนที่น่าตกใจที่สุดคือหลู่สุ่ยเซิง

เขาอ้าปากค้าง เป็นเวลานานยังไม่หุบ ผ่านเลยไปสักพัก เขาก็อุทานอย่างระมัดระวัง “เฟิง พี่เฟิงท่านกำลังทำอะไรอยู่? เขาเป็นเพียงบริกรในบาร์เท่านนั้น!”

พี่เฟิงไม่ตอบคำถามของเขา เพราะในขณะนี้เขายังคงโค้งตัวงอและทำความเคารพ หลินหยุนยังไม่บอกให้เขายึดตัวตรง

หลินหยุนมองไปที่พี่เฟิงและพูดเบาๆ “ตามสบาย!”

“ขอบคุณคุณหลิน!” พี่เฟิงเหมือนถูกนิรโทษกรรม จากนั้นเขาก็ยืดตัวขึ้นอย่างระมัดระวัง และยืนอยู่ข้างๆ โดยไม่กล้าที่จะบังสายตาของหลินหยุนที่มองตรงไปข้างหน้า

หลู่สุ่ยเซิงกำลังจะเป็นบ้ากับบรรยากาศแปลกๆในที่เกิดเหตุ และอดไม่ได้ที่จะถามอีกครั้ง “พี่เฟิงคุณบอกฉันมาสิว่าเกิดอะไรขึ้น?”

พี่เฟิงมองไปที่หลินหยุนอย่างระมัดระวัง เมื่อเห็นว่าเขาไม่ได้พูดอะไร จากนั้นก็หันหน้าไปมองหลู่สุ่ยเซิงด้วยท่าทางเย็นชา ราวกับว่าหลู่สุ่ยเซิงได้ตายไปแล้ว

“นี่คือคุณหลินที่นายท่านเจี่ยงเคยแนะนำ!”

หลู่สุ่ยเซิงเบิกตากลมโตทันที ทั่วร่างกายของเขาเริ่มสั่น และพูดตะกุกตะกัก “เขา เขาคือคุณหลิน? เป็นไปได้ยังไง!”

“เห็นได้ชัดว่าเขาเป็นบริกรในบาร์! จะกลายเป็นคุณหลินของนายท่านเจี่ยงได้อย่างไร?”

ไม่เพียงแต่หลู่สุ่ยเซิงที่ไม่เข้าใจ แม้แต่ลูกน้องที่อยู่เบื้องหลังเขาก็ไม่สามารถเข้าใจได้

เป็นถึงคุณหลินผู้ยิ่งใหญ่ แม้แต่ผู้มีอิทธิพลอย่างเจี่ยงสงในหลินโจวยังต้องให้ความเคารพอย่างมาก ทำไมถึงมาเป็นบริกรในบาร์ได้อย่างไร?

ปลอมตัวมาเพื่อสืบคดีเหรอ? หรือแกล้งอ่อนแอให้คนอื่นสงสารเพื่อตามจีบสาว?

ให้อภัยลูกน้องเหล่านี้ที่ขาดมารยาท พวกเขายังไม่ได้คิดคำศัพท์อื่นๆที่จะนำมาพูด

หลินหยุนยังไม่ใช้โอกาสนี้ที่จะฆ่าฟันหลู่สุ่ยเซิง แต่พูดกับพี่เฟิงเบาๆ “นี่คือพี่สาวของฉัน พี่โล่โล่เจ้าของบาร์แห่งนี้”

จากนั้น หลินหยุนก็ไม่ได้พูดอะไร เขาเชื่อว่าพี่เฟิงที่สามารถกลายเป็นคนสนิทของเจี่ยงสง คงเข้าใจว่าจะทำอย่างไรต่อไป

พี่เฟิงรีบโค้งคำนับให้พี่โล่โล่ แต่เพียงพยักหน้าเล็กน้อย ท่าทีของเขาไม่ได้ทำเช่นเดียวกับเมื่อเผชิญหน้ากับหลินหยุน

“สวัสดีพี่โล่โล่!”

เมื่อมองไปที่คนสนิทในตำนานของนายท่านเจี่ยง ขณะนี้เขาได้พยักหน้าทักทายตัวเอง แม้ว่าพี่โล่โล่จะเคยเห็นปัญหาหนักเบามามาก ในขณะนี้เธอก็ยังรู้สึกเหมือนอยู่ในความฝัน

หลินหยุนสังเกตเห็นว่าพี่โล่โล่ผู้ซึ่งฉลาดและเด็ดเดี่ยวมาโดยตลอด ได้ทำท่าทางที่ไร้เดียงสามาก โดยแอบบีบต้นขาเรียวยาวของเธออย่างลับๆ

ด้วยความเจ็บปวดเธอกระตุกมุมปากเล็กน้อย ก่อนที่เธอจะเชื่อว่าทั้งหมดนี้เป็นความจริง

“สวัสดีพี่เฟิง!” พี่โล่โล่อยู่ต่อหน้าพี่เฟิงยกมือประสานกันขึ้นและโค้งคำนับ นี่คือมารยาทในยุทธภพ ใช้ได้ทั้งชายหญิง

แม้ว่าก่อนหน้านี้อะเฟิงจะเป็นคนที่พี่โล่โล่ได้แต่คาดหวัง แต่พี่โล่โล่ก็ไม่ได้แสดงท่าทีชื่นชมยินดีออกมามาก

ท่าทีของเธอยังคงไม่ดูหมิ่นตัวเองและไม่โอ้อวด เช่นเดียวกับเมื่อตอนที่เผชิญหน้ากับหลู่สุ่ยเซิง

เพราะเธอรู้ดีว่า อะเฟิงในวันนี้ที่ทักทายเธอ เพราะเห็นแก่หน้าของหลินหยุน ไม่เกี่ยวกับเธอเลย

หลังจากนั้น หลู่สุ่ยเซิงก็กรีดร้องเหมือนเสียงเชือดหมู!

เป็นถึงคุณท่านหลู่ ในยุคที่มีเกียรติและอำนาจในถนนเสวย่วนถูกคนตีจนแขนหัก และไม่กล้าแม้แต่จะขัดขืน

ทุกคนเห็นแล้วต่างหวาดกลัว แม้แต่พวกเขายังรู้สึกเจ็บปวดแทน

หลู่สุ่ยเซิงเป็นบุคคลที่สามารถปล่อยวางได้ แขนหักแล้วก็ช่างมัน ตอนนี้สิ่งสำคัญจะต้องมีชีวิตรอดไว้ก่อน

อดทนความเจ็บปวดกับแขนที่หัก สีหน้าหลู่สุ่ยเซิงซีดเซียวยังคงร้องขอความเมตตา “พี่เฟิงท่านได้ลงโทษแล้ว ตอนนี้ไว้ชีวิตผมได้ไหม?”

อะเฟิงมองเขาด้วยความรู้สึกที่ซับซ้อน หลู่สุ่ยเซิงคนนี้เป็นคนสนิทของเขา ตีมือขาดไปข้างหนึ่ง เป็นเพราะไม่มีทางเลือกจริงๆ

“หลู่สุ่ยเซิง นายอย่าโทษฉัน ใครให้นายไปล่วงเกินบุคคลที่ดำรงอยู่เหมือนเทพ!”

“ถ้าฉันไม่หักแขนนาย นายอาจไม่มีชีวิตรอด!”

เมื่อนึกถึงฉากที่สมาคมประลองยุทธ หลินหยุนที่ฆ่าคนในระยะห่างกันร้อยเมตร อะเฟิงก็ตัวสั่น

นั่นไม่ใช่สิ่งที่คนปกติสามารถทำได้!

คนดำรงอยู่ในตำแหน่งนี้หลู่สุ่ยเซิงยังกล้าที่จะรุกราน!

อะเฟิงมองไปที่หลู่สุ่ยเซิง พูดด้วยน้ำเสียงขรึม “นายไม่ควรขอร้องฉัน ขอเพียงคุณหลินอภัยให้นายก็พอ”

นี่ถือได้ว่าเป็นการเตือนสติ และอยากรู้ความคิดของหลินหยุน เพราะอะเฟิงไม่รู้ว่าสิ่งที่เขาทำไปแล้วนั้น หลินหยุนพอใจหรือยัง?

หลู่สุ่ยเซิงเข้าใจความหมายของอะเฟิง และรีบหันไปหาหลินหยุนและคุกเข่าโขกหัว “คุณหลิน ขอโทษที่ผมมีตาหามีแวว ไม่รู้จักผู้เก่งกาจอย่างแท้จริง! โปรดเห็นแก่ในความรู้ไม่เท่าทัน ครั้งนี้ยกโทษให้ผมด้วย!”

“ผมสัญญา ในอนาคตตราบใดที่ยังมีผม บาร์ของพี่โล่โล่ห่างออกไประยะหนึ่งไมล์ จะไม่มีใครกล้ามาสร้างปัญหา!”

แม้ว่าหลู่สุ่ยเซิงอยู่ต่อหน้าอะเฟิง จะเชื่อฟังเหมือนสุนัขตัวหนึ่ง แต่พลังอำนาจในถนนเสวย่วนไม่ควรมองข้ามไป

ถ้าเขารับประกันแล้ว ในอนาคตบาร์โล่เฉินก็ปลอดภัยแล้ว

เป็นเรื่องน่าตลกที่หลู่สุ่ยเซิงชายวัยสี่สิบปี ไม่กล้าเรียกน้องโล่โล่อีกต่อไป และเปลี่ยนชื่อเรียกพี่โล่โล่

ประวัติการอ่าน

No history.

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: จักรพรรดิเชียนตกสวรรค์