จักรพรรดิเชียนตกสวรรค์ นิยาย บท 1797

ต้องพูดเลยว่า นี่คือความโศกเศร้าของพวกชนเผ่าขนาดเล็ก

นับตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน โดยที่ไม่ว่าจะเป็นยุคโบราณหรือว่ายุคนิศากาล ก็เป็นเช่นนี้ ไม่มีการเปลี่ยนแปลง

การดำรงอยู่ คือหัวข้อที่พูดถึงกันของเผ่าขนาดเล็กในจักรวาลมาตลอดกาล

โลกเขาทองในปัจจุบันนี้ แม้ว่าเผ่ามนุษย์จะดำรงอยู่เป็นหลัก แต่ก็มีเผ่าอื่น ๆ ดำรงอยู่ด้วยกันอีกมากมาย

หลังจากที่หลินหยุนใช้พลังแห่งจิตญาณสำรวจดูแล้ว ก็พบเจอกับเมืองที่มีขนาดใหญ่ที่สุดหลายแห่ง

หลินหยุนตัดสินใจเลือกเมืองที่ใกล้ที่สุด และก็เหาะเหินมุ่งหน้าไปอย่างรวดเร็ว

สองวันต่อมา

เมืองจิงเฟิง

หลินหยุนก้าวเดินเข้าไปในเมือง เพียงแค่ทำการรับรู้สัมผัสเล็กน้อย ก็พบว่ามีกลิ่นอายลมหายใจที่แข็งแกร่งจำนวนไม่น้อยดำรงอยู่

เขาพักอาศัยอยู่ในเมืองจิงเฟิงสองวัน เพื่อสืบค้นข้อมูลข่าวสาร โดยพบว่าเมืองจิงเฟิงนี้มียอดฝีมือเดินทางกันมาอย่างต่อเนื่อง

ดูเหมือนว่า ผู้ที่รับรู้ข่าวสารว่าโลกเขาทองจะมีสมบัติล้ำค่าถือกำเนิดขึ้นนั้น ยิ่งเพิ่มจำนวนมากขึ้นแล้ว!

เข้าสู่วันที่ห้าที่เขาพักอาศัยอยู่ในเมืองจิงเฟิง เขาก็สามารถรับรู้และเข้าใจ ข้อมูลข่าวสารโดยทั่วไปทั้งหมดแล้ว

ตำแหน่งที่สมบัติล้ำค่าจะถือกำเนิดขึ้นนั้น อยู่ที่หุบเทียนเมี่ยซึ่งห่างไกลออกไปประมาณหนึ่งล้านลี้ทางทิศตะวันตกเฉียงเหนือของเมืองจิงเฟิง

หุบเทียนเมี่ย ก็คือหุบเขาขนาดใหญ่ที่สุดของโลกเขาทอง

เดิมทีก็ไม่ใช่ว่าจะเป็นสถานที่พิเศษอะไร

เป็นเพียงแค่หุบเขาปกติธรรมดาเท่านั้น

แต่ในช่วงครึ่งเดือนก่อนหน้านี้ ท่ามกลางหุบเขาได้เกิดประกายแสงสีเขียวขึ้นอย่างกะทันหัน ซึ่งลำแสงสีเขียวนั้นทรงพลังอย่างมาก ไม่เพียงแต่จะแผ่ปกคลุมไปทั่วหุบเขาเท่านั้น

สิ่งมีชีวิตทั้งหมดท่ามกลางหุบเขาก็ได้ถูกสังหารทำลายลงไปในพริบตาเดียว!

เดิมทีในหุบเขานี้ มีผู้บำเพ็ญเซียนแดนดั่งเทพตอนกลางคนหนึ่ง โดยผู้บำเพ็ญเซียนคนนั้นได้หลบหนีเอาตัวรอดอย่างบ้าคลั่ง จนสามารถที่จะรักษาชีวิตเอาไว้ได้

แต่แม้ว่าคนผู้นี้จะออกมาจากหุบเขาได้แล้ว แต่อีกไม่นาน เขาก็จบชีวิตลง

ลำแสงสีเขียวนั้นพุ่งทะยานขึ้นสู่ขอบฟ้า

จึงเกิดความโกลาหลขึ้นในทันที

ยอดฝีมือจำนวนไม่น้อยก็ได้เดินทางไปยังที่ตั้งของหุบเทียนเมี่ย

ลำแสงที่เปล่งประกายขึ้นนี้ ก็คือสัญญาณที่บ่งบอกว่าจะมีสมบัติล้ำค่าถือกำเนิดขึ้น

ข่าวสารดังกล่าวก็ได้แพร่กระจายไปทั่วในทันที

ยอดฝีมือจำนวนมาก ต่างก็รวมตัวกันเพื่อเดินทางไปยังที่แห่งนี้

แต่ลำแสงสีเขียวนั้นไม่เพียงแต่จะไม่ลดกำลังลง กลับเปล่งประกายแสงทรงพลังมากขึ้นอีก

ต่อให้เป็นยอดฝีมือแดนสู่ธรรมะ ก็ถูกลำแสงสีเขียวนั้นสะท้อนขับไล่ออกมาอย่างรวดเร็ว

พวกยอดฝีมือที่เข้าไปด้านในนั้น ก็ไม่ได้พบเจอร่องรอยอะไรเลยแม้แต่น้อย

แต่มียอดฝีมือวิเคราะห์ไว้ว่า รอให้ลำแสงสีเขียวนั้นสะสมพลังจนถึงขีดจำกัดแล้ว ก็คงจะสลายไปเอง เมื่อถึงตอนนั้นสมบัติล้ำค่าในหุบเขา ก็จะถือกำเนิดขึ้นอย่างแท้จริงแล้ว!

การที่หลินหยุนพักอาศัยอยู่ในเมืองจิงเฟิงถึงห้าวัน อย่างสงบเงียบแบบนี้ ก็เป็นเพราะรับทราบถึงสถานการณ์เหล่านี้แล้ว

วันนี้ ในโรงเหล้าจิ่วโหลว หลินหยุนมองไปยังชายวัยกลางคนคนหนึ่งที่นั่งอยู่ฝั่งตรงข้าม และพูดขึ้นว่า “สหายจินจิ่ว ฉันคิดว่าได้เวลาแล้ว พวกเราควรจะออกเดินทางกันแล้ว! ”

จินจิ่ว คือผู้บำเพ็ญเซียนแดนดั่งเทพตอนปลายคนหนึ่งที่หลินหยุนเพิ่งจะรู้จัก

ชายวัยกลางคนที่ชื่อจินจิ่วได้ยินดังนั้น ก็เงยหน้าขึ้นแล้วยกเหล้าดื่มจนหมดแก้ว จากนั้นก็พยักหน้าและพูดว่า “ถูกต้อง ควรที่จะออกเดินทางกันแล้ว! แต่ดูจากสถานการณ์ตอนนี้แล้ว สหาย ความเป็นไปได้ที่เราจะสามารถได้รับสมบัติล้ำค่านั้น แทบจะน้อยมากเลย! ”

หลินหยุนพูดว่า “กี่วันมานี้ มียอดฝีมือจากหมื่นโลกมากันไม่น้อย ถึงขนาดที่มีหลายคนที่มีขั้นที่เหนือกว่าแดนสู่ธรรมะ! ซึ่งเป็นเรื่องยากลำบากจริง ๆ! แต่ว่า......”

จินจิ่วได้ยินดังนั้น ดวงตาก็เป็นประกายขึ้น และพูดว่า “แต่ว่าอะไร? หรือว่าสหายมู่ฉองยังมีวิธีการอื่นอย่างนั้นเหรอ? ลองพูดมาให้ฟังหน่อยสิ? ”

หลินหยุนพูดขึ้นว่า “ไม่มีอะไร ฉันก็แค่อยากบอกว่า การถือกำเนิดขึ้นของสมบัติล้ำค่า ในหมื่นจักรวาลนี้ ไม่ใช่ว่าจะต้องดูกันที่พลังบำเพ็ญอย่างเดียว ยังขึ้นอยู่กับโอกาส โชคชะตา และวาสนาอีกด้วย! ไม่ใช่ว่าพวกเราจะไม่มีโอกาส! ”

จินจิ่วนึกว่าหลินหยุนจะพูดหลักการอะไรที่ลึกล้ำ เมื่อได้ยินที่หลินหยุนพูดแบบนี้ ก็หัวเราะอย่างจำใจ ส่ายศีรษะและพูดว่า “สหายมู่ฉอง คำพูดเหล่านี้นั้น เป็นเพียงของพวกคนที่ล้มเหลว ที่พูดออกมาเพื่อปลอบใจตนเองเท่านั้น! ”

“การช่วงชิงสมบัติล้ำค่านับตั้งแต่อดีตจนถึงตอนนี้ ทุกครั้งที่สถานการณ์เป็นแบบนี้ ไม่ว่าครั้งไหนผู้ที่แข็งแกร่งที่สุดก็จะเป็นฝ่ายได้ไปครอบครอง! ”

แน่นอนว่าเขาเองก็ไม่ได้รีบร้อนขนาดนั้น

ที่หุบเขานั้น จินจิ่วมีเพื่อนที่มีความสัมพันธ์อันดีต่อกันอยู่ที่นั่นด้วย

โดยกำลังรอคอยพวกเขามาถึงอยู่ตลอด

อีกทั้งยังได้ส่งข่าวสารสถานการณ์ของหุบเขาให้กับจินจิ่วอยู่ตลอดเวลาด้วย

ทั้งสองคนมองเห็นลำแสงสีเขียวที่เกิดจากหุบเขานั้นในระยะไกลแล้ว

ซึ่งพุ่งทะยานขึ้นสู่ขอบฟ้า และทรงพลังอย่างมากจริง ๆ ด้วย

อีกทั้งถึงขนาดที่ทำให้บริเวณพื้นที่ของหุบเขานั้นเปลี่ยนแปลงไปด้วย!

หุบเขาที่ถูกปกคลุมไปด้วยลำแสงสีเขียว ราวกับว่าได้เปลี่ยนเป็นบริเวณพื้นที่พิเศษและประหลาดขึ้น

ซึ่งนี่ก็คือสัญญาณที่บ่งบอกว่าจะมีสมบัติล้ำค่าถือกำเนิดขึ้นจริง ๆ ด้วย!

ทั้งสองคนเหาะเหินมาในอากาศ พบเห็นว่าบริเวณขอบรอบ ๆ หุบเขานั้น มีผู้บำเพ็ญเซียนอยู่กันเป็นจำนวนมากแล้ว

โดยมีจำนวนที่มากเกินกว่าหนึ่งพันคนแล้ว

ในจำนวนนั้นเมื่อรวมแดนจิตปฐมและแดนดั่งเทพเข้าด้วยกัน ก็จะมีประมาณสองร้อยคน

ส่วนที่เหลือก็จะเป็นขั้นที่ต่ำกว่าแดนจิตปฐมแล้ว

สำหรับแดนสู่ธรรมะนั้น เวลานี้มีอยู่สามคน

ส่วนยอดฝีมือที่เหนือกว่าแดนสู่ธรรมะนั้น ยังไม่ปรากฏตัวให้เห็น

ทั้งสองคนได้มองหาภูเขาลูกที่มีคนไม่มากมาจากระยะไกล แล้วก็อำพรางร่างของตนเอง ไม่นานนัก ก็มีชายวัยกลางคนที่รูปร่างผอมบาง ตัวไม่สูงนักคนหนึ่ง ได้เหาะเหินตรงมาทางนี้

เมื่อมาถึงเบื้องหน้า ก็มองไปที่จินจิ่วพร้อมกับยิ้มและพูดขึ้นว่า “ในที่สุดนายก็มาจนได้! นายนี่ช่างยอดเยี่ยมจริง ๆ! ใช่แล้ว ผู้นี้ก็คือสหายมู่ฉองที่นายพูดถึงใช่ไหม? ช่างดูดีมีสง่าจริง ๆ”

ขณะที่พูด ชายวัยกลางคนที่ผอมบางนั้นก็มองไปที่หลินหยุน และก็พูดขึ้นอย่างเป็นกันเองว่า “สหายมู่ฉอง ฉันคือฉินหมิง รู้จักกับจินจิ่วมานานหลายปีแล้ว ในเมื่อสหายมู่ฉองเป็นเพื่อนของไอ้จินจิ่วนี้ ก็ถือว่าเป็นเพื่อนของฉันเช่นกัน! ”

หลินหยุนพยักหน้า แล้วก็ยกมือทำความเคารพให้กับฉินหมิง และพูดขึ้นว่า “สหายฉินหมิง หลายวันมานี้ สหายจินจิ่วไม่เคยได้พูดถึงเรื่องราวของสหายกับฉันเลย ครั้งนี้ก็เป็นเพราะมีสหายอยู่ที่นี่โดยตลอด พวกเราทั้งสองคนถึงได้ปลอดภัยแบบนี้”

ประวัติการอ่าน

No history.

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: จักรพรรดิเชียนตกสวรรค์