“ฮ่าๆ ในที่สุดก็ถึงเจ้าเด็กยโสโอหังคนนี้สักที!”
“ได้เห็นเจ้าเด็กนี่อับอายขายหน้า มันน่าสนุกจริงๆเลย!”
“อ่าย ฉันแปลกใจจริงๆ แม้แต่เงินทุนตั้งต้นของตระกูลเขายังไม่ได้รับเลย แล้วทำไมกล้ามาเข้าร่วมประเมินด้วยล่ะ?”
“แกว่าเจ้าเด็กนี่สมองคงได้รับกระทบกระเทือนจนเสียสติไปแล้วมั้ง!”
ผู้คนตระกูลหลินทั้งหลายต่างก็ส่งเสียงเยาะเย้ยดังลั่นไปทั่ว
พวกหลินเห้าก็แสดงสีหน้าเยาะเย้ยด้วยความสะใจบนความทุกข์ของคนอื่น
หลินเหลยมองไปยังหลินหยุนอย่างเหยียดหยาม แล้วถามว่า “พี่เห้า เจ้าหมอนี่ทำไมยังใจเย็นสงบนิ่งได้ขนาดนี้ ไม่รู้ว่าโง่จริงหรือแกล้งโง่กันแน่?”
หลินเห้าพูดเยาะเย้ยว่า “ฮื่อ แกล้งแสดงเล่นละครตบตาไปอย่างนั้นแหละ รอให้หลังจากตรวจสอบแล้ว เขาก็จะเผยโฉมหน้าที่แท้จริงออกมาเอง”
หลินโร่สุ่ยพูดด้วยเสียงโมโหว่า “พวกคุณก็อย่าดูถูกพี่หลินหยุนสิ อาจไม่แน่ผลงานของเขาดีกว่าพวกคุณทุกคนก็ได้!”
หลินเหลยหัวเราะลั่นแล้วพูดว่า “อ๋อเหรอ? น่ากลัวจังเลยอะ! พี่เห้า พี่เชื่อหรือเปล่า? แต่ยังไงฉันก็ไม่เชื่อ”
“ฉันก็ไม่เชื่อเหมือนกัน!” หลินเห้าพูดเยาะเย้ย
หลินโร่สุ่ยโกรธมากจนไม่ไปสนใจพวกเขาอีก “พี่หลินหยุน คุณจะต้องเอาผลงานที่ดีกว่าหลินเห้าออกมาให้ได้นะ ดูสิว่าพวกเขายังจะกล้าดูถูกคุณอีกหรือเปล่า!”
หลินหยุนเดินมาถึงตรงหน้าผู้ตรวจสอบอาวุโสทั้งสอง เมื่อผู้อาวุโสทั้งสองเห็นหลินหยุนเดิมมามือเปล่า เดิมทีก็มีความรู้สึกที่ไม่ค่อยดีกับหลินหยุนอยู่แล้ว ก็ขมวดคิ้วแล้วถามว่า “เอกสารใบแสดงรายการทรัพย์สินของคุณล่ะ?”
หลินหยุนพูดอย่างเรียบๆว่า “ไม่ได้เอาติดตัวมาด้วย”
ผู้ตรวจสอบอาวุโสทั้งสองพูดด้วยความโมโหทันทีว่า “คุณไม่ได้เอามาด้วยแล้วคุณมาทำอะไร!”
พวกคนหนุ่มสาวตระกูลหลินบางคนก็หัวเราะขึ้นมาทันที “ฮาๆ เจ้าเด็กนี้ยังมาพูดล้อเล่นอยู่อีก แม้แต่เอกสารใบแสดงรายการทรัพย์สินก็ยังไม่มี แล้วยังกล้ามาเข้าร่วมประเมินผลงานอีก!”
“แม้แต่ทรัพย์สินลงทุนเขายังไม่มีเลย แล้วจะเอาใบแสดงรายการทรัพย์สินมาจากที่ไหนกันล่ะ?”
“ฮ่าๆ นั่นะสิ คนที่ไม่มีแม้แต่ทรัพย์สินลงทุน แล้วจะเอาใบแสดงรายการอะไรมาจากไหนกันล่ะ!”
สายตาทุกคนที่มองไปยังหลินหยุนนั้น เต็มไปด้วยความดูถูกเหยียดหยาม
สีหน้าท่าทางของหลินเหลยก็ยิ่งดูเวอร์วังเกินเหตุ หัวเราะจนหน้าหงายหน้าคว่ำ “เจ้าหมอนี่ เวลาพูดโกหกก็ยังไม่ใช้สมองคิดให้ดีก่อนเลย! ไม่มีก็ไม่มีสิ ยังบอกว่าไม่ได้เอาติดตัวมา! เขาคิดว่าจะหลอกใครก็ได้งั้นเหรอ?”
หลินเห้าก็พูดเยาะเย้ยด้วยสีหน้าดูถูก “ปล่อยให้เขาแกล้งแสดงไปเถอะ ดูสิว่าเขาจะแสดงได้อีกนานอีกเท่าไหร่!”
หลินโล่เฉินและหลินโร่หลันต่างก็ส่ายหัวด้วยสีหน้าขยะแขยง
“หลินหยุนเอ้ย ตระกูลหลินเราทำไมถึงต้องมีคนขยะๆอย่างแกด้วยนะ!”
หานเจียวเจียวย่อมไม่ปล่อยให้โอกาสที่ใช้โจมตีหวางซูเฟินคราวนี้หลุดมือไปอย่างแน่นอน รีบพูดเยาะเย้ยว่า “ไอ้หยา พูดได้สวยหรูจัง ไม่ได้เอาติดตัวมาด้วย! เวลาที่แกไปสนามรบ ก็คงไม่ได้พกปืนไปด้วยสินะ!”
“ไปรนหาที่ตายเหรอไง?”
“ฮ่าๆ!”
ในบรรดาคนตระกูลหลินรุ่นที่สองนั้น ส่วนใหญ่แล้วก็หัวเราะเยาะอย่างเต็มที่ทั้งนั้น แต่ว่า เมื่อเทียบกับเด็กหนุ่มสาวรุ่นที่สามของตระกูลหลินพวกนั้นแล้ว ก็ยังรู้สึกดูสำรวมกว่ามาก
หลินตงหัวรู้สึกหน้าแดงขึ้นเล็กน้อย ก้มหน้าลงไม่พูดไม่จา ในใจก็แอบเสียใจที่ตัดสินใจวู่วามให้หลินหยุนเข้าร่วมประเมินผลงานด้วย
สีหน้าหวางซูเฟินก็ยังคงเต็มไปด้วยความเย้ยหยัน กวาดสายตาไปยังผู้คนด้วยความเหยียดหยาม ทำเสียงฮื่อเบาๆ “หัวเราะไปเถอะ อีกประเดี๋ยวพวกแกก็หัวเราะไม่ออกแล้ว”
หลินหยุนไม่ได้อธิบายให้กับกรรมการตรวจสอบให้เข้าใจ แต่กลับมองไปยังซูจื่อเหลียง
ข้างกายของซูจื่อเหลียง ไม่รู้ว่ามีหญิงสาวชุดสูทสีดำมาปรากฏตัวอยู่ข้างๆตั้งแต่เมื่อไร
หญิงสาวรูปร่างสูงเพรียว แลดูสวยงามมาก
ซูจื่อเหลียงพยักหน้าให้กับหญิงสาวคนนั้น หญิงสาวก็เดินเข้าไปหาหลินหยุน
สายตาของทุกคน ต่างก็ถูกหญิงสาวที่ปรากฏตัวขึ้นมาอย่างกะทันหันนั้นสะกดเอาไว้ ทุกสายตาต่างมองตามฝีเท้าก้าวย่างของหญิงสาวคนนั้นไป จนมาหยุดอยู่ตรงหน้าหลินหยุน
หญิงสาวก็โค้งตัวลงคำนับหลินหยุน ด้วยท่าทีที่นอบน้อมมาก “เฉินต๋าจี่ขอคารวะเจ้านาย!”
หลินหยุนมองดูหญิงสาวแล้วพูดอย่างเรียบๆว่า “เจี่ยงสงเป็นคนส่งคุณมาเหรอ?”
“ใช่ค่ะเจ้านาย!” หญิงสาวยืนอยู่ข้างตัวหลินหยุนอย่างนอบน้อม แล้วพยักหน้าตอบรับ
หลินหยุนพูดอย่างนี้เรียบๆว่า “งั้นก็เริ่มได้เลย!”
“ค่ะ!”
เฉินต๋าจี่ก้มหน้าลงอย่างนอบน้อม เดินผ่านข้างตัวหลินหยุนไป
หลังจากนั้น ก็มายืนอยู่ตรงหน้าผู้ตรวจสอบอาวุโสทั้งสอง
แม้แต่หลินซื่อเฉิงเองก็ยังแอบขมวดคิ้ว เห็นได้ชัดว่าแม้แต่เขาก็ยังคิดว่า หลินหยุนกำลัง ปั้นเรื่องคุยโวเพื่อหลอกลวงผู้อื่นให้หลงเชื่ออยู่
ไม่มีใครเชื่อคำพูดของหลินหยุนแม้แต่คนเดียว
เฉินต๋าจี่กวาดสายตาไปยังผู้คนอย่างเย่อหยิ่ง ยิ้มอย่างเย็นชา แล้วยื่นแฟ้มเอกสารให้กับผู้ตรวจสอบอาวุโส
“ในเมื่อพวกคุณไม่เชื่อ งั้นก็ดูเอาเองก็แล้วกัน!”
ภายในห้องโถงใหญ่นั้น ทุกคนต่างก็หยุดชะงัก สงบเงียบลงในทันทีทันใด
สายตาของทุกคน ต่างก็จ้องมองไปยังแฟ้มเอกสารที่เฉินต๋าจี่ยื่นให้กับผู้ตรวจสอบอาวุโสทั้งสองนั้น
“ยังไงฉันก็ไม่เชื่อเด็ดขาดเลย!”
ผู้ตรวจสอบอาวุโสทั้งสองเปิดอ่านแฟ้มข้อมูลเอกาสาร แล้วเริ่มทำการตรวจสอบ
ในขณะที่ได้อ่านดูใบแสดงรายการทรัพย์สินชุดแรกนั้น ทั้งสองคนถึงกับอ้าปากค้างทันที
สีหน้าเช่นนี้ ยังดูแตกตื่นเวอร์วังกว่าที่ได้เห็นใบแสดงรายการทรัพย์สินของหลินเห้าเมื่อครู่ถึงสิบเท่าเลยทีเดียว
“ของปลอม จะเป็นไปได้ยังไง!”
ใบแสดงรายการทรัพย์สินชุดแรกที่เฉินต๋าจี่มอบให้กับกรรมการตรวจสอบนั้น เป็น รายได้ส่วนหนึ่งที่ได้มาจากเจี่ยงสงในจงโจวเท่านั้น
มูลค่าก็ไม่มากนัก ก็เพียงแค่หนึ่งพันล้านเท่านั้นเอง แน่นอนนี่ก็เป็นเพียงทรัพย์สินส่วนน้อยที่เฉินต๋าจี่ได้เลือกสรรมาไว้ให้ก่อนหน้านั้นแล้ว
แต่ว่า เพียงแค่ใบแสดงรายการทรัพย์สินชุดแรกนี้เท่านั้น ก็ทำให้ช็อกได้ขนาดนี้แล้ว!
ถ้าหากคิดคำนวณจากเงินทุนตั้งต้นสิบล้านละก็ ผลกำไรก็ต้องเพิ่มขึ้นถึงร้อยเท่าเลยทีเดียว!
ผลกำไรของหลินเห้าเพิ่มขึ้น35เท่า ก็ทำให้ทุกคนตื่นตะลึงแล้ว ต่อให้เป็นของหลินโล่เฉินตอนนั้นก็เพิ่มขึ้นเพียง 60 เท่าแค่นั้นเอง
ผู้ตรวจสอบอาวุโสทั้งสอง ก็เริ่มตรวจสอบพิสูจน์อย่างจริงจัง ด้วยการโทรศัพท์เพื่อยืนยันความถูกต้อง
หลังจากที่ได้ตรวจเช็กซ้ำอีกหลายครั้งแล้ว ในที่สุดผู้ตรวจสอบอาวุโสทั้งสองก็ยอมเชื่อแล้วว่า ใบแสดงรายการทรัพย์สินที่เฉินต๋าจี่ส่งให้พวกเขานั้น ถูกต้องอย่างไม่ต้องสงสัย
“ใบแสดงรายการทรัพย์สินชุดแรกก็มีมูลค่าถึงพันล้านแล้ว ต่อไปจะเป็นเท่าไหร่อีกล่ะ?”
ผู้ตรวจสอบอาวุโสทั้งสองต่างก็หันมามองหน้าซึ่งกันและกัน
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: จักรพรรดิเชียนตกสวรรค์
จบแค่นี้จริงดิ ไม่มั้ง เหมือนคนเขียนโดนตัดจบใน 5 ตอน อะไรกันนี่ อ่านถึงประมาณตอนที่ 1,500-1,600 พอละ หลังจากนั้นเละ ช่วงสุดท้ายนี่มั่วบ้านงานมั่ก ๆ...
1...
1...
1...
1...
นิยายจีนหลายๆหรือเกือบทุกเรื่องจะจบแบบงง..เหมือนคนแต่งจบไม่เป็น..คือเนื้อเรื่องแต่งไปได้เรื่อยๆแต่หาตอนจบไม่เจอคือถ้าจะจบก็จบแบบงง..หนักสุดน่าจะเรื่องฉินหรังละครับ.ฉินหรังไปสถานที่หนึ่งได้ต้นไม้แล้วโดนระเบิดออกมาอีกทีก็1ปีผ่านไป ไปหาแม่แล้วเปลี่ยนชื่อเลยครับ จงหยู่นางเอกต้นเรื่องหายไปเลย ฉินหรังได้กลับนางฟ้า ผมนี้งงเลยคนแต่งน่าจะเมาแฟบนะ...
จบแบบงงๆครับ...