บทที่ 776 เปิดเผยความจริง – ตอนที่ต้องอ่านของ จักรพรรดิเชียนตกสวรรค์
ตอนนี้ของ จักรพรรดิเชียนตกสวรรค์ โดย จูผาซู่ ถือเป็นช่วงเวลาสำคัญของนิยายใช้ชีวิตทั้งเรื่อง ด้วยบทสนทนาทรงพลัง ความสัมพันธ์ของตัวละครที่พัฒนา และเหตุการณ์ที่เปลี่ยนโทนเรื่องอย่างสิ้นเชิง บทที่ 776 เปิดเผยความจริง จะทำให้คุณอยากอ่านต่อทันที
นายท่านหลินสีหน้าเข้มงวด “เรื่องนี้ฉันก็ได้พูดกับนายคนเดียวเท่านั้น คนตระกูลหลินทั้งหมดต่างก็ไม่มีใครรู้เรื่อง นายอย่าได้เปิดเผยให้คนอื่นรู้เด็ดขาด แม้แต่พ่อแม่ของนายก็ห้ามพูดไปทั้งนั้น”
หลินหยุนพยักหน้า “ผมเข้าใจแล้วครับ”
หลินหยุนถามต่อไปว่า “คุณปู่ครับ ปู่บอกผมได้ไหมว่า ปู่ป่วยเป็นโรคอะไร? อาจไม่แน่ผมมีวิธีรักษาก็ได้นะ”
นายท่านหลินส่ายหน้า “รักษาไม่ได้หรอก โรคมะเร็ง”
หลินหยุนในใจสะดุ้ง “เป็นอย่างนั้นจริงด้วย”
ดูเหมือนว่าเป็นเพราะได้พูดความลับที่ฝังแน่นในส่วนลึกของหัวใจออกมาแล้ว นายท่านหลินก็รู้สึกผ่อนคลายขึ้นมาทันที
“ฉันได้ปรึกษาผู้เชี่ยวชาญที่เก่งที่สุดในประเทศแล้ว โรคของฉันรักษาไม่ได้ ได้แต่กินยา รักษาโรคมะเร็งที่เพิ่งค้นพบใหม่เพื่อยื้อชีวิตไว้เท่านั้นเอง”
“อย่างช้าที่สุดก็ห้าปี อย่างเร็วก็สองถึงสามปี ยารักษาโรคมะเร็งก็ใช้ไม่ได้ผลอีกแล้ว ถึงเวลานั้นก็เป็นเวลาที่ฉันต้องจากโลกนี้ไปแล้ว”
ในขณะที่นายท่านหลินพูดถึงเรื่องความเป็นความตายนั้น ถึงกับรู้สึกเป็นเรื่องที่ธรรมดามาก ดูเหมือนไม่ได้ใส่ใจกับเรื่องความเป็นความตายเลย
“ต้องขอโทษที่ปู่พูดตามประสาคนแก่ อย่างไรก็ตาม นายก็จะต้องรับช่วงตระกูลหลินต่อจากปู่ มีแต่ฝากตระกูลหลินไว้กับมือนายเท่านั้น ปู่จึงจะจากไปอย่างหมดห่วง ” นายท่านหลินมองดูหลินหยุน ด้วยสีหน้าที่รอคอยความหวัง
หลินหยุนไม่มีวันที่จะรับช่วงตระกูลหลินต่อจากปู่อย่างเด็ดขาด แต่ว่าเขาก็ไม่อาจทำให้นายท่านต้องผิดหวัง
มีอยู่ทางเดียวเท่านั้น จะต้องทำให้นายท่านเข้าใจว่า โรคของตัวเองสามารถรักษาให้หายได้ เช่นนี้แล้ว เขาก็สามารถจะนำพาตระกูลหลินต่อไปได้อีก เพื่อจะได้ทำตามความฝันของตัวเองอย่างเต็มที่
แต่ว่า ถ้าอยากจะให้คนธรรมดาทั่วไปคนหนึ่งเชื่อว่าตัวเองสามารถรักษาโรคร้ายให้หายขาดนั้น ก็ไม่ใช่เรื่องที่ง่ายเลย
ยิ่งไปก่อนนั้นก็ยังเป็นโรคร้ายที่ใครๆต่างหวาดผวาทั้งนั้น
ถึงแม้หลินหยุนได้แสดงพลังความสามารถบู๊ที่น่าสะพรึงกลัวออกมาให้เห็นแล้วก็ตาม แต่ว่า ถ้าอยากจะให้นายท่านหลินเชื่อว่าตัวเองสามารถรักษาโรคมะเร็งของเขาได้นั้น ก็จำเป็นต้องอธิบายให้เข้าใจอย่างละเอียด
“คุณปู่ครับ ปู่คิดว่าพลังความสามารถของผมเป็นยังไงบ้าง?” หลินหยุนถามขึ้นอย่างกะทันหัน
นายท่านหลินอึ้งไปครู่หนึ่ง แล้วตอบว่า “แข็งแกร่งมาก!”
หลินหยุนพูดว่า “ความจริงแล้ว ที่ปู่เห็นวันนั้นมันเป็นแค่เศษเสี้ยวเล็กน้อยเท่านั้นเอง พลังความสามารถที่แท้จริงของผมนั้น แข็งแกร่งกว่าที่แสดงออกให้เห็นวันนั้นอีกมากเลย”
นายท่านหลินสีหน้าตกตะลึง วันนั้นหลินหยุนสู้ชนะเยนหนานเทียนได้ ก็ทำให้เขาช็อกตาค้างแล้ว
ตอนนี้ยังได้ยินกับหูว่า หลินหยุนบอกว่าพละกำลังวันนั้นเพียงแค่เศษเสี้ยวเล็กน้อยเท่านั้น งั้นพลังความสามารถทั้งหมดของหลินหยุนนั้น ควรจะแข็งแกร่งถึงขนาดไหนกัน?
นายท่านหลินไม่มีวันที่จะคิดออกได้เลย อีกทั้งไม่มีวันที่จะเข้าใจด้วยซ้ำไป
หลินหยุนพูดต่อไปว่า “ความจริงแล้ว ผมไม่ใช่นักบู๊เลย แต่ผมเป็นผู้บำเพ็ญเซียนคนหนึ่ง”
“ผู้บำรุงเซียนเหรอ?” นายท่านหลินเคยได้ยินแต่นักบู๊ อีกทั้งคนธรรมดาทั่วไปส่วนมากแล้ว ก็ยอมรับว่ามีนักบู๊อยู่จริง อย่างน้อยที่สุด ประเทศจีนตั้งแต่สมัยโบราณมาก็ได้ถ่ายทอดเรื่องราวของจอมยุทธยอดฝีมืออีกจำนวนมากมายด้วย
แต่ว่า เมื่อได้ยินชื่อคำว่าผู้บำเพ็ญเซียนนี้แล้ว สีหน้านายท่านหลินก็แสดงความสงสัยออกมา
นี่มันค่อนข้างเหนือความจริงไปแล้ว
นี่มันน่าจะเป็นเรื่องควรปรากฏแต่ในตำนานที่เลื่องลือกันมากกว่าไม่ใช่เหรอ? หรือว่าในโลกนี้ยังจะมีผู้บำเพ็ญเซียนอยู่จริงเหรอ?
หลินหยุนเกรงว่านายท่านไม่เข้าใจ จึงพูดเพิ่มเติมว่า “คำว่าผู้บำเพ็ญเซียนนั้น ก็หมายถึง เทวดาที่คนธรรมดาทั่วไปพูดถึงนั่นแหละ”
“หรือพูดอีกอย่างหนึ่งว่า ผมก็คือเทวดา”
ระดับมหากษัตริย์ชางฉอง เมื่ออยู่ในโลกของปุถุชนธรรมดาทั่วไป บอกว่าตัวเองเป็นเทวดา ก็ไม่นับว่าคุยโวจนเกินไป
“โรคมะเร็งของคุณปู่ อาจไม่แน่ว่าพวกหมอทั่วไปไม่มีทางรักษาได้ แต่ผมกลับมีวิธีรักษาให้หายได้นะ”
“ดังนั้น ปู่ไม่ต้องกังวลเลย ตราบใดที่ผมยังอยู่ อายุขัยของท่านก็จะยืนยาวต่อไปอีกนานเลยนะ!”
พูดมาตั้งมากมาย ก็เพื่อปูพื้นให้กับสองประโยคหลังนี้เท่านั้นเอง
เพียงเพื่อจะทำให้นายท่านเชื่อมั่นว่า หลินหยุนสามารถรักษาโรคของเขาให้หายได้
นายท่านหลินก็ไม่ค่อยเชื่อเท่าไรนัก แต่ว่า เพื่อความมั่นใจที่มีต่อหลินหยุนแล้ว เขาเลือกที่จะฝืนตัวเองให้เชื่อถือให้ได้
“นายสามารถรักษาโรคของฉันให้หายดีจริงเหรอ?”
หลินหยุนพูดว่า “เอาอย่างนี้ ถ้าหากผมรักษาโรคของปู่ไม่หายละก็ งั้นผมก็จะตกลงเงื่อนไขของปู่ ยอมรับช่วงตระกูลหลินต่อ และรับรองว่าจะนำพาตระกูลหลินไปสู่ความรุ่งโรจน์ต่อไปอย่างแน่นอน”
เมื่อได้ยินคำนี้แล้ว นายท่านหลินก็ดีใจมาก “ได้ ตกลงตามนั้น!”
แน่นอนที่ว่า ถ้าคิดอยากจะให้หลุดพ้นจากเงามืดของตระกูลหวางนั้น แค่นี้ก็ยังไม่เพียงพอ อย่างน้อยอำนาจการข่มขู่ของตระกูลหวางก็ได้อยู่เคียงคู่ไปกับพวกเขามาตั้งหลายสิบปีแล้ว
มีแต่ต้องทำให้ตระกูลหวางพ่ายแพ้อย่างราบคาบเท่านั้น ตระกูลหวางจะต้องก้มหัวต่อหน้าพ่อแม่ เช่นนี้จึงจะสามารถทำให้หลินตงหัวและหวางซูเฟิน หลุดพ้นจากเงามืดของตระกูลหวางออกมาได้อย่างสิ้นเชิง
ส่วนแผนการต่อไป หลินหยุนจะต้องเริ่มเตรียมตัวสร้างตัวอ่อนยาทอง หลังจากที่สร้างตัวอ่อนยาทองสำเร็จแล้ว หลินหยุนก็จะเข้าไปถึงระยะสามในแดนทั้งสามของการฝึกพลังอย่างเต็มตัว นั่นก็คือเข้าสู่แดนรวมยา
เมื่อถึงเวลานั้น พลังความสามารถของหลินหยุน ก็เทียบเท่ากับนักบู๊แดนเทพได้แล้ว
ถ้าได้พบกับนักบู๊ในระดับแดนเดียวกับเยนหนานเทียนนั้นอีกละก็ หลินหยุนก็สามารถสังหารได้อย่างง่ายดาย
หลินหยุนรู้สึกว่า พลังความสามารถตอนนั้น ก็สามารถเข้าไปกำจัดตระกูลหวางที่เมืองหลวงได้แล้ว
ไปถล่มภูเขาลูกใหญ่ที่ทับอยู่บนศีรษะพ่อแม่ของเขามาหลายสิบปีนั้น ให้ราบเป็นหน้ากลองไปเลย
หลินตงหัวมองดูหลินหยุน ถามด้วยสีหน้าเคร่งขรึมว่า “หลินหยุน พวกเราต่างก็อยากจะรู้จริงๆว่า พลังความสามารถในตัวของลูกที่สะท้านฟ้าสะเทือนแผ่นดินนั้น มันมาจากไหนกันแน่?”
“หลายปีที่ผ่านมานี้ ชีวิตของลูกไปประสบอะไรมากันแน่?”
หลินหยุนหุบยิ้มบนใบหน้าแล้วพูดอย่างจริงจังว่า “ความจริงแล้ว ผมคือผู้บำเพ็ญเซียนคนหนึ่ง”
จากนั้น หลินหยุนก็ใช้คำพูดที่ได้พูดกับนายท่านหลินมาบอกเล่าให้พ่อแม่ฟังอีกครั้งหนึ่ง
สำหรับพ่อแม่จะสักถามว่าเขาทำไมถึงได้เป็นผู้บำเพ็ญเซียนได้นั้น หลินหยุนก็ได้เตรียมคำตอบเอาไว้แล้วว่า ได้มาจากอาจารย์ที่ตัวเองสมมุติขึ้นมา
เช่นนี้แล้ว ก็สามารถจะไขข้อข้องใจของพ่อแม่ได้หมดสิ้นแล้ว
แต่ว่า สถานะของหลินหยุนนั้น ทำให้หวางซูเฟินและฉินหลันเกิดความรู้สึกอยากรู้อยากเห็นอย่างแรงกล้า
พวกเธอทั้งสองจึงอยากให้หลินหยุนสอนพวกเธอฝึกฝนบำเพ็ญเพียรให้ได้
ไหนๆก็ไหนๆแล้ว หลินหยุนจึงได้เชิญนายท่านหลินมาด้วยกันเลย แล้ววางค่ายกลเก็บเสียงไว้บริเวณรอบๆภายในห้อง
“เรื่องของการบำเพ็ญเซียนพวกนี้ ไม่ใช่ว่าจะเหมาะสำหรับทุกคนเสมอไป ผมจะสอนวิชาแรกเข้าเบื้องต้นให้กับทุกคนก่อน พวกคุณก็ลองฝึกฝนดู ถ้าพวกคุณสามารถฝึกฝนต่อไปได้ ผมก็จะถ่ายทอดวิชาที่ลึกกว่านี้ให้พวกคุณอีก”
ทุกคนต่างก็รีบพยักหน้า คนธรรมดาทั่วไปย่อมต้องให้ความสนใจเกี่ยวกับเรื่องของการบำเพ็ญเซียนพวกนี้เป็นพิเศษอย่างแน่นอน
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: จักรพรรดิเชียนตกสวรรค์
จบแค่นี้จริงดิ ไม่มั้ง เหมือนคนเขียนโดนตัดจบใน 5 ตอน อะไรกันนี่ อ่านถึงประมาณตอนที่ 1,500-1,600 พอละ หลังจากนั้นเละ ช่วงสุดท้ายนี่มั่วบ้านงานมั่ก ๆ...
1...
1...
1...
1...
นิยายจีนหลายๆหรือเกือบทุกเรื่องจะจบแบบงง..เหมือนคนแต่งจบไม่เป็น..คือเนื้อเรื่องแต่งไปได้เรื่อยๆแต่หาตอนจบไม่เจอคือถ้าจะจบก็จบแบบงง..หนักสุดน่าจะเรื่องฉินหรังละครับ.ฉินหรังไปสถานที่หนึ่งได้ต้นไม้แล้วโดนระเบิดออกมาอีกทีก็1ปีผ่านไป ไปหาแม่แล้วเปลี่ยนชื่อเลยครับ จงหยู่นางเอกต้นเรื่องหายไปเลย ฉินหรังได้กลับนางฟ้า ผมนี้งงเลยคนแต่งน่าจะเมาแฟบนะ...
จบแบบงงๆครับ...