หลินหยุนเอ่ยถาม : “ทดสอบเหมือนกับตอนที่พวกเราผ่านเข้าประตูใหญ่มางั้นเหรอ?”
โม่จือมิ่งพยักหน้า : “ใช่ครับ แต่ความยากของที่นี่ จะยากมากกว่าตอนผ่านเข้าประตูหลายเท่าตัว”
หลินหยุนมองออก เพราะเตาอั้งโล่ครั้งนี้ มีขนาดใหญ่กว่าเตาอั้งโล่หน้าประตูใหญ่หลายเท่านัก หากต้องการจุดไฟ ก็ต้องลำบากกว่าเตาอั้งโล่หน้าประตูใหญ่อยู่แล้ว
ในกลุ่มคน เริ่มมีเสียงพูดคุยกันขึ้นมาเบา ๆ
“ไม่ใช่มั้ง ความยากในด่านแรกของงานปีนี้ เพิ่มมากขึ้นกว่าปีก่อน ๆ เยอะเลย!”
“จริงด้วย ฉันจำได้ว่าคราวก่อนเป็นเตาอั้งโล่ขนาด 1เมตร แต่เตาอั้งโล่ในครั้งนี้ น่าจะใหญ่ถึง1.3เมตรเลยนะ!”
“ความยากเพิ่มขึ้นถึงหนึ่งในสามเลยเหรอ!”
โม่จือมิ่งได้ยินเสียงวิพากษ์วิจารณ์เหล่านี้ ก็ได้พูดกับหลินหยุนเสียงเบา ๆ ว่า : “ความยากในการผ่านด่านสามด่านของการประลองกลั่นยา ยากมากขึ้นทุกครั้งจริง ๆ แต่ว่า ผู้มีความสามารถในโลกกลั่นยา ก็มีเพิ่มมากขึ้นทุกปีเช่นกัน การเพิ่มระดับความยากขึ้น ก็ถือว่าเป็นเรื่องสมเหตุสมผล!”
หลินหยุนไม่สนใจเรื่องความยากสามด่านเลยแม้แต่น้อย เขาเพียงสนใจว่าเมื่อไหร่จะได้ท้าทายป่ายหลี่เถ่
ขอแค่ได้เอาบันทึกเตากลั่นยากลับไป เรื่องอื่นเขาก็ไม่สนใจแล้ว
ส่วนเรื่องวิชาการกลั่นยาของนักบู๊ในโลกเหล่านี้ หลินหยุนไม่มีความสนใจที่จะดูเลยด้วยซ้ำ
ป่ายหลี่เถ่ได้ยินเสียงผู้คนวิพากษ์วิจารณ์ ก็ได้ยิ้มพลางพูดเสียงดังว่า : “ทุกคนพูดถูกแล้ว ความยากในการผ่านด่านสามด่านนั้นเพิ่มมากขึ้นทุกครั้ง แต่ว่า ผู้ที่มีความสามารถในโลกกลั่นยาของพวกเรา ก็มีเพิ่มมากขึ้นทุกปีไม่ใช่หรือ?”
“ฉะนั้น ความยากในสามด่านนี้ไม่ได้เปลี่ยนตามอำเภอใจ แต่เป็นการปรับตามระดับความสามารถของพวกเราในโลกกลั่นยา!”
“ทั้งสามด่านเพิ่มระดับความยากมากขึ้น แสดงว่าโลกกลั่นยาของพวกเรามีการพัฒนาก้าวหน้ามากขึ้น”
คำพูดเหล่านี้ของป่ายหลี่เถ่ ทำให้นักกลั่นยาหลายคนที่โอดครวญอยู่ในใจกันเมื่อครู่นี้ รู้สึกสบายใจขึ้นมาเป็นกอง
ยังไงก็ตาม ในฐานะที่เป็นนักกลั่นยา ย่อมต้องอยากเห็นโลกกลั่นยายิ่งใหญ่อยู่แล้ว
ถ้าหากสามารถกลับไปยิ่งใหญ่เทียบเท่ากับโลกบู๊ในตอนนั้นได้ คงเป็นความปรารถนาของนักกลั่นยาทุกคน
เห็นทุกคนไม่วิพากษ์วิจารณ์กันแล้ว ป่ายหลี่เถ่จึงพูดเสียงดังว่า : “เริ่มได้!”
เมื่อพูดจบ ในกลุ่มผู้คนก็มีคนเดินออกมาทันที
“ฉันขอลองก่อน”
ชายร่างใหญ่แข็งแรงกำยำคนหนึ่ง ได้เดินมาด้านหน้าเตาอั้งโล่เตาหนึ่ง แล้วใช้ฝ่ามือกดลงไปที่ขอบเตา
เขาตะโกนออกมาเสียงดัง ระเบิดพลังออกมา
ผู้คนที่อยู่ด้านล่างต่างวิตกกังวลแทนเขา
ปู๊ด!
แต่น่าเสียดาย ที่มีแต่ลมตดออกมาจากชายร่างกำยำคนนั้น เตาอั้งโล่ยังคงปกติไม่มีอะไรเกิดขึ้น ด้านในไม่มีเปลวไฟเลยแม้แต่น้อย
“ฮ่าฮ่า......”
ผู้คนต่างหัวเราะกันอย่างเสียงดัง
“ล้มเหลว!” กรรมการคนหนึ่งเอ่ยพูดขึ้นอย่างเย็นชา แล้วมองไปที่ชายร่างกำยำคนนั้นด้วยสายตาเหยียดหยาม
ชายร่างกำยำคนนั้นหน้าแดงขึ้นมา แล้วหมุนตัวเดินลงจากแท่นไป ก้มหน้าหลบเข้าไปในฝูงชน ไม่กล้าโผล่หน้าออกมาอีก
“ฉันเอง!”
มีนักกลั่นยาขึ้นมาบนแท่นอีกคนแล้ว คนนี้รูปร่างผอมสูง หน้าตาท่าทางดูลามกอยู่บ้าง
เขาลงมืออย่างรวดเร็ว เมื่อขึ้นมาบนแท่นก็เอามือกดไปบนเตาอั้งโล่ทันที
พรึ่บ!
เปลวไฟลุกโชนขึ้นมาในเตา แต่สูงกว่าเตาเพียงไม่กี่เซนติเมตรเท่านั้น
“ผ่าน!” บนแท่น กรรมการคนเดิมได้เอ่ยพูดด้วยเสียงเคร่งขรึม
คนผมสูงคนนั้นได้หัวเราะเสียงดัง แล้วเดินไปยังที่ว่างด้านหน้า ยืนอยู่ตรงนั้นด้วยสีหน้าภาคภูมิใจ
เมื่อมีคนทดสอบผ่าน ผู้คนด้านล่างก็เพิ่มจำนวนมากขึ้นทันที
ขึ้นมาบนแท่นครั้งละสิบคน มีทั้งคนที่ทดสอบผ่าน และคนที่ล้มเหลว
ผลงานที่ดีสุด ก็ทำได้แค่ให้เปลวไฟสูงเหนือเตาอั้งโล่เพียงสิบเซนติเมตรเท่านั้น
ผลงานระดับนี้ จัดว่าเป็นอัจฉริยะแล้ว แม้แต่กรรมการบนเวทีและป่ายหลี่เถ่ยังรู้สึกชื่นชม
โม่จือมิ่งอธิบายให้หลินหยุนฟังว่า : “ถ้าหากผ่านด่านแรกไปได้ ก็จะเข้าไปรอในจุดที่จัดไว้ เพื่อเตรียมทดสอบด่านที่สอง”
“ถ้าหากล้มเหลว ก็ถูกคัดออกทันที”
หลินหยุนเอ่ย : “พวกเราขึ้นไปกันเถอะ!”
“ครับ”
หลินหยุนและโม่จือมิ่งขึ้นไปบนแท่น แล้วเริ่มทดสอบ
โม่จือมิ่งเป็นอัจฉริยะแห่งหุบเขาเทพยา พลังไม่ธรรมดา วิชาการกลั่นยาของเขา ถือว่าเป็นยอดฝีมือในโลกกลั่นยาเลยทีเดียว
แต่ว่า เปลวไฟที่โม่จือมิ่งก่อขึ้นมา สูงเหนือเตาอั้งโล่เพียงไม่กี่เซนติเมตรเท่านั้น
ผลงานอย่างนี้ถือเป็นระดับที่ต่ำ
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: จักรพรรดิเชียนตกสวรรค์
1...
1...
1...
1...
นิยายจีนหลายๆหรือเกือบทุกเรื่องจะจบแบบงง..เหมือนคนแต่งจบไม่เป็น..คือเนื้อเรื่องแต่งไปได้เรื่อยๆแต่หาตอนจบไม่เจอคือถ้าจะจบก็จบแบบงง..หนักสุดน่าจะเรื่องฉินหรังละครับ.ฉินหรังไปสถานที่หนึ่งได้ต้นไม้แล้วโดนระเบิดออกมาอีกทีก็1ปีผ่านไป ไปหาแม่แล้วเปลี่ยนชื่อเลยครับ จงหยู่นางเอกต้นเรื่องหายไปเลย ฉินหรังได้กลับนางฟ้า ผมนี้งงเลยคนแต่งน่าจะเมาแฟบนะ...
จบแบบงงๆครับ...