ภายในโลกใบเล็กของเหล่าสำนักโบราณนั้น มีสมาพันธ์บู๊ลิ้มที่ถูกก่อตั้งโดยสำนักใหญ่ทั้งห้าอยู่จุดสูงสุด มีหน้าที่ควบคุมดูแลพวกสำนักขนาดกลางและขนาดเล็กอีกร้อยกว่าสำนัก
เมื่อสามร้อยปีก่อน ตอนที่สมาพันธ์บู๊ลิ้มเป็นฝ่ายพ่ายแพ้ในสงครามบุกรุกโลกภายนอก ทำให้พวกเขาต้องทำข้อตกลง ให้แต่ละสำนักส่งยอดฝีมือระดับเซียนไปคุ้มกันตามชายแดนของประเทศทุกๆสิบปี
แน่นอนว่าเงื่อนไขแบบนี้ ได้รับเสียงต่อต้านมากมาย เพราะไม่มีเซียนคนไหนอยากจะเสียเวลาไปเปล่าๆเป็นสิบปี แต่พวกเขาก็ไม่มีทางเลือก เพราะในตอนนั้นโลกภายนอกยังมีหนึ่งบุรุษหนึ่งสตรี ที่น่าหวาดกลัวอยู่
ตราบใดที่ยังมีต้วนมู่เฉียนและหลินซูซินอยู่บนแผ่นดินจีน การฝ่าฝืนหรือต่อต้านนับเป็นเรื่องไร้สาระ ดังนั้นพวกเขาเลยทำได้เพียงแค่ยอมเก็บความคับข้องใจเอาไว้ แล้วอดทนทำหน้าที่ต่อไป
จนกระทั่ง…เกิดเหตุการณ์เมื่อสิบสองปีก่อน
หนึ่งในเสาหลักของประเทศจีน หลินซูซินได้ล้มเหลวในการทลายนภา และหายสาบสูญไป เรื่องนี้แม้ต้วนมู่เฉียนจะพยายามปกปิดแค่ไหน แต่ข่าวก็ไปถึงสมาพันธ์บู๊ลิ้มจนได้
ในการประชุมเมื่อแปดปีก่อน สมาพันธ์มีเสียงแตกออกเป็นสองฝ่าย คือจะทำตามข้อตกลงต่อไป หรือจะล้มเลิกแล้วกรีธาทัพบุกโลกภายนอกอีกครั้ง
ซึ่งแน่นอนว่า ฝ่ายที่สนับสนุนให้เกิดสันติภาพเป็นฝ่ายชนะ ด้วยเหตุผลง่ายๆที่ว่า ตราบใดที่ยังมีต้วนมู่เฉียนอยู่ พวกเขายังไม่มีความหวังจะได้ชัยโดยไม่เกิดการสูญเสียอย่างสาหัส
เพราะโลกในตอนนี้มันได้พัฒนาไปกว่าอดีตมาก มีอาวุธสงครามมากมายที่สามารถต่อสู้กับผู้ฝึกตนได้ ยิ่งเมื่อรวมกับผู้นำสูงสุดอย่างต้วนมู่เฉียนที่กุมอำนาจของประเทศมากว่าสามร้อยปี โอกาสชนะก็ยิ่งน้อยลงไปอีก
แต่ถึงแม้ว่าฝ่ายสนับสนุนให้ก่อสงครามจะแพ้ พวกเขาก็ได้บรรลุเป้าหมายส่วนหนึ่งในการประชุมไปแล้ว ด้วยการเปิดเผยข้อมูลเรื่องอายุขัยของต้วนมู่เฉียนออกไป
ต้วนมู่เฉียนใกล้หมดอายุขัย…
คำพูดประโยคนี้ ได้สร้างคลื่นใต้น้ำอย่างรุนแรงให้กับทุกสำนักที่เข้าร่วมประชุม จนสุดท้ายทุกสำนักที่สนับสนุนให้ก่อสงคราม ก็ได้แอบส่งเซียนจำนวนมากออกมาตรวจสอบข้อมูลและเตรียมการเคลื่อนไหวแบบลับๆ
หมู่บ้านแห่งหนึ่งในมณฑลเหอเป่ย
สถานที่แห่งนี้ อยู่ไม่ไกลจากสำนักงานขนส่งสืออี้มากนัก เพียงยี่สิบกิโลเมตรเท่านั้น ด้วยเหตุผลที่มีพื้นที่เพาะปลูกขนาดใหญ่เกือบสองร้อยไร่
พวกชาวบ้านที่นี่ใช้ชีวิตกันแบบเรียบง่าย ด้วยอาชีพกสิกรรม เลี้ยงสัตว์ และเก็บของป่าไปขายเป็นสังคมชนบท ที่ทุกคนต่างพึ่งพาอาศัยกันเหมือนครอบครัวใหญ่
ทุกวันต่างมีแต่รอยยิ้มและเสียงหัวเราะของเด็กๆที่วิ่งเล่นกันอย่างสนุกสนาน หนุ่มสาวออกมาพูดคุยหยอกล้อกัน คนแก่ก็นั่งสนทนาถึงเรื่องความหลัง
อย่างน้อย ในอดีตมันก็เคยเป็นแบบนั้น…
ปัจจุบัน หมู่บ้านแห่งนี้เต็มไปด้วยบรรยากาศอันเศร้าโศก มีเพียงคนแก่และเด็กเล็กที่แววตาเต็มไปด้วยความหวาดกลัว ขาดความมีชีวิตชีวา เดินไปเดินมาอย่างไร้จุดหมาย ราวเป็นซากศพที่ยังหายใจ
“ ผู้ใหญ่บ้าน…ได้โปรดอย่าเอาหลานสาวของฉันไปเลย เธอเพิ่งมีอายุสิบสี่ปีเท่านั้น เอาฉันไปแทนเถอะ ” หญิงชราคนหนึ่งคุกเข่าคร่ำครวญปานจะขาดใจ เธอสูญเสียลูกสาวกับลูกเขยไปแล้ว ตอนนี้เหลือเพียงแค่หลานสาวคนนี้เท่านั้น
“ ป้าไซ่…ฉันขอโทษ ทุกบ้านส่งคนหนุ่มสาวไปหมดแล้ว ตอนนี้ก็เป็นของบ้านคุณ เรื่องนี้ฉันทำอะไรไม่ได้จริงๆ ” ชายวัยกลางคนพูดด้วยความลำบากใจ เขาเองก็ไม่อยากทำแบบนี้ แต่หากไม่ส่งหลานสาวของป้าซุนไป เขาก็ต้องเสียสละลูกชายของตัวเอง
ตรงพื้นที่ลานกว้างของหมู่บ้าน เต็มไปด้วยผู้คนมากมายยืนมองเหตุการณ์อยู่ด้วยแววตาเจ็บปวด เพราะพวกเขาก็เคยผ่านเหตุการณ์แบบนี้มาก่อน
ในทุกๆเดือนหมู่บ้านจะต้องส่งคนหนุ่มสาวจำนวนสี่คน ไปฝากตัวเป็นศิษย์เซียนที่อาศัยอยู่บนภูเขา ซึ่งก็ไม่เคยมีใครได้กลับมา ทุกคนต่างหายสาบสูญไปอย่างไม่มีวันกลับ
หากเดือนไหนที่พวกเขาไม่ส่งคนขึ้นไป เซียนที่อยู่บนนั้นจะลงมาเลือกด้วยตัวเอง ทั้งยังพาไปทีเดียวถึงสิบคน ทำให้พวกเขาไร้หนทาง ทำได้เพียงก้มหน้ายอมรับชะตากรรมเท่านั้น
ตลอดเวลาแปดปีที่ผ่านมา ไม่รู้ว่ามีกี่ครอบครัวที่ต้องเสียบุตรหลานของตัวเองไป
พวกเขาเคยคิดพยายามหลบหนีแล้ว แต่สุดท้ายคนที่หนีออกไป ก็จะกลายเป็นศพอยู่หน้าหมู่บ้านในวันรุ่งขึ้น มีคนพยายามจะแจ้งตำรวจแต่ก็ไร้ผล วันถัดไปคนที่โทรไปแจ้งก็ต้องตายอย่างน่าอนาถ
สุดท้ายพวกเขาจึงต้องทนทุกข์ทรมานเป็นเวลาแปดปี จาก หมู่บ้านที่มีผู้คนนับพัน ตอนนี้เหลือไม่ถึงห้าร้อยคนแล้ว อีกทั้งคนส่วนใหญ่ยังเป็นเพียงแค่คนแก่และเด็กเล็กที่เพิ่งเกิด
“ ยายจ๋า…ไม่ต้องเป็นห่วง หนูไม่อยู่แล้วยายต้องดูแลตัวเองดีๆนะ ” เด็กสาวคนหนึ่งวิ่งมากอดหญิงชราแล้วพูดออกมาด้วยรอยยิ้ม
เธอพยายามจะไม่ร้องให้ เพราะไม่อยากให้คนที่เธอรักต้องเสียใจ แม้หัวใจของเธอจะรู้สึกหวาดกลัวและเจ็บปวดแค่ไหนก็ตาม
อย่าได้เห็นเธอเป็นเพียงเด็กอายุสิบสี่ปี ความคิดของเธอนั้นโตกว่าอายุมาก การที่ต้องทนเห็นเพื่อนฝูงที่เคยเล่นด้วยกันหายไปทีละคน ทำให้ตัวเธอรู้ดีว่าซักวันหนึ่งก็คงถึงคราวของเธอ
‘ ฉันเตรียมตัวสำหรับวันนี้ไว้นานแล้ว…ชีวิตที่ต้องทนทุกข์แบบนี้ จะได้จบสิ้นไปเสียที เป็นห่วงก็แต่คุณยายที่จะต้องอยู่คนเดียวเท่านั้น ’
ไม่ได้มีเพียงครอบครัวของยายไซ่เท่านั้นที่กอดคอกันร้องไห้ ยังมีอีกสี่ครอบครัวที่เป็นแบบนี้เช่นกัน พวกเขาคือผู้รับเคราะห์ในเดือนนี้
ในเวลาเดียวกันบนท้องฟ้า
หลวงจีนชุดขาวถอนหายใจยาว มองดูเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นด้านล่างด้วยแววตาเศร้าสร้อย เหตุการณ์นี้ไม่ได้เกิดกับหมู่บ้านนี้เพียงหมู่บ้านเดียว ยังมีอีกสามหมู่บ้านที่ต้องพบกับความสูญเสียแบบนี้เช่นกัน
“ หลวงพี่… ฉันทนไม่ไหวอีกต่อไปแล้ว ”
หญิงสาวนางหนึ่งปรากฏกายขึ้นตรงหน้าของหลวงจีนชุดขาว เธอมีใบหน้าสกปรกมอมแมม แต่มีแววตาเป็นประกายเฉลียวฉลาด แม้จะสวมใส่เสื้อผ้าเก่าเต็มไปด้วยรอยปะชุน แต่มันกลับไม่ได้ทำให้ตัวเธอดูตกต่ำแม้แต่น้อย
เธอมีชื่อว่าเซียวถิงถิง เป็นศิษย์หลักที่โดดเด่นของพรรคกระยาจก ด้วยอายุเพียงหกสิบปี ก็สามารถบรรลุขอบเขตเซียนได้ จัดเป็นอัจฉริยะรุ่นเยาว์ที่มีพรสวรรค์สูงของสำนักโบราณทั้งหมด
“ อามิตาพุทธ…สำนักของพวกเราสั่งห้ามยุ่งเกี่ยวกับเรื่องราวของสำนักอื่น หน้าที่ของพวกเรามีเพียงจับตาดูสถานการณ์ต่างๆที่เกิดขึ้นภายในประเทศจีนเท่านั้น ”
“ เรื่องที่ประมุขนิกายหมื่นภูต…ซ่อมแซมอาวุธเวทย์ธงวิญญาณแค้น ได้รับการอนุญาตจากสมาพันธ์แล้ว อาตมาและสีกาไม่มีสิทธิ์ขัดขวางพวกเขา ” หลวงจีนอู๋ซินพูดออกมาด้วยสีหน้าจริงจัง
เขาเป็นตัวแทนของวัดเส้าหลิน ที่ออกมาสู่โลกภายนอกเมื่อแปดปีก่อน ด้วยอายุเพียงเก้าสิบปีก็บรรลุขอบเขตเซียนขั้นกลาง จึงถูกจัดเป็นสุดยอดอัจฉริยะรุ่นเยาว์เหมือนกับเซียวถิงถิง
สำหรับเซียนในสำนักโบราณนั้น หากยังมีอายุไม่ถึงหนึ่งร้อยปี จะถูกจัดอยู่ในรุ่นเยาว์ เพราะอายุขัยของเซียนนั้นมีถึงห้าร้อยปี และการเก็บตัวฝึกตนของพวกเขา แต่ละครั้งอาจยาวนานถึงสิบปีหรือร้อยปีเลยทีเดียว
ดังนั้นเซียนที่มีอายุร้อยปี ก็เทียบได้กับคนธรรมดาอายุยี่สิบปี…
“ หลวงพี่…ท่านรู้ไหม เด็กสาวครอบครัวไซ่เธอเป็นเด็กดีมาก เมื่อสามปีก่อนฉันปลอมตัวเป็นหญิงชราตาบอดแขนขาด เข้าไปอาศัยอยู่ในหมู่บ้านแห่งนี้ ”
“ มีเพียงแค่เธอเท่านั้น…ที่เข้ามาช่วยเหลือฉัน ทั้งหาอาหารให้ และดูแลเรื่องความเป็นอยู่ทุกอย่าง โดยไม่สนใจความเหนื่อยยาก ทั้งๆที่บ้านของเธอก็มีหญิงชราให้ดูแลอยู่แล้วหนึ่งคน ”
“ เราจะปล่อยให้เด็กสาวดีๆแบบนี้ต้องตายงั้นเหรอ…สำนักเส้าหลินของท่านมีคำสอนว่าทำดีย่อมได้ดี ไม่ใช่หรือไง ” เซียวถิงถิงพูดออกมาเสียงดัง หากไม่ใช่เพราะขั้นพลังของเธอต่ำเกินไป เธอคงลงมือไปนานแล้ว ไม่จำเป็นต้องมาเสียเวลาพูดคุยแบบนี้
คำพูดของเซียวถิงถิงเหมือนคลื่นที่กระแทกเข้าสู่จิตใจของหลวงจีนอู๋ซิน ทำให้สีหน้าของเขาเปลี่ยนไป ไม่นิ่งสงบไร้อารมณ์เหมือนอดีต
‘ หลักคำสอน…และความเชื่อที่อาตมายึดถือมาหลายสิบปี กับภาระหน้าที่ที่ได้รับมอบหมายมา อาตมาควรเลือกทางไหนกัน’
การที่หลวงจีนอู๋ซินจะรู้สึกขัดแย้งในใจก็ไม่แปลก ถึงแม้ว่าวัดเส้าหลินจะมีสิทธิ์มีเสียงมากที่สุดในสมาพันธ์บู๊ลิ้ม
แต่ในการประชุมครั้งล่าสุดมีสำนักใหญ่ถึงสามสำนักที่สนับสนุนให้ทำสงคราม มีเพียงวัดเส้าหลินเท่านั้นที่สนับสนุนสันติภาพ ส่วนพรรคกระยาจกนั้นเป็นกลาง
เหตุที่ฝ่ายสันติภาพเป็นผู้ชนะ เพราะบรรดาสำนักขนาดกลางและขนาดเล็กส่วนใหญ่ ไม่ต้องการได้รับความสูญเสียอย่างสาหัส เมื่อเกิดการต่อสู้กับกองทัพของประเทศที่นำโดยต้วนมู่เฉียน
แต่เมื่อทุกสำนักล่วงรู้ถึงอายุขัยของต้วนมู่เฉียน เรื่องราวก็ต่างออกไป พวกเขาลงมติให้เตรียมการสำหรับอนาคตในอีกแปดปีข้างหน้าแทน
เมื่อใดก็ตามที่ต้วนมู่เฉียนตาย มันย่อมเกิดความวุ่นวายขึ้นในประเทศจีนแน่นอน และตอนนั้นจะเป็นเวลาที่สำนักโบราณจะเคลื่อนทัพบุกโลกภายนอกอีกครั้ง ต่อให้วัดเส้าหลินจะไม่เห็นด้วย แต่ก็ไม่สามารถต่อต้านเสียงส่วนใหญ่ได้
หลังจากที่หลับตาครุ่นคิดอยู่นาน ในที่สุดดวงตาของหลวงจีนชุดขาวก็ลืมขึ้น
“ อามิตาพุทธ…หากอาตมาไม่ลงนรกแล้วใครจะลงนรก สีกาพูดมาขนาดนี้ ถ้าอาตมายังคงวางเฉย ก็คงเสียที ที่ท่องจำพระธรรมคำสอนมาหลายสิบปีแล้ว ” หลวงจีนอู๋ซินพูดออกมาด้วยรอยยิ้ม เมื่อเขาตัดสินใจได้ สีหน้าก็ผ่อนคลายในพริบตา
‘ การอดทนดูมารร้ายก่อกรรมทำเข็นมาตลอดแปดปี…มันได้สร้างจิตมารขึ้นในใจของอาตมา มีแต่ต้องสะบั้นมันทิ้งเท่านั้น อาตมาถึงจะบรรลุขั้นต่อไปได้ ’
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: จุติใหม่มหาเทพตี้เทียน