ห้องประชุมใหญ่สภาอาวุโสสำนักคุนหลุน
หลังจากได้รู้ถึงจุดประสงค์ของฝ่ายศัตรูในการกวาดล้างสำนักคุนหลุนทั้งหมด รองเจ้าสำนักเหยียนซือหนิงก็ได้เรียกระดมผู้อาวุโสระดับสูงทั้งหมดมาร่วมหารือ เพื่อวางแผนป้องกันศัตรู
แน่นอนว่าผู้ที่มาเข้าร่วมหารือในครั้งนี้ ย่อมมีคนของตระกูลเปียนด้วย เนื่องจากพวกเขาได้ถือครองขุมกำลังครึ่งหนึ่งของสำนักเอาไว้
ตอนนี้จ้าวเทียนเอง ก็ได้รับการต้อนรับในฐานะอาคันตุกะผู้ทรงเกียรติ ตำแหน่งที่นั่งของเขาอยู่ถัดลงมาจากรองเจ้าสำนักหนึ่งขั้น เหนือกว่าผู้อาวุโสคนอื่น
ส่วนเหตุผลที่เขายังไม่จากไป และยอมเข้าร่วมการประชุมในครั้งนี้ด้วย ก็เพราะคำพูดประโยคนั้นของแม่เขา
“ ใช่…ฉันยังมีลูกอีกสองคน พวกเขาเป็นสิ่งสำคัญที่สุดในชีวิตของฉัน ”
ในตอนที่แม่ของเขาพูดประโยคนี้ออกมา แววตาของเธอมั่งคงไม่สั่นคลอน จ้าวเทียนดูออกว่ามันออกมาจากหัวใจของเธอจริงๆ
สำหรับจ้าวเทียนแล้วไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น…แม่ก็คือแม่
ตราบใดที่แม่ยังมองว่าเขากับน้องสาวเป็นคนสำคัญ แค่นั้นก็พอแล้ว ส่วนเรื่องที่เธอไปมีครอบครัวใหม่นั้น เขาไม่อยากจะเก็บมันมาคิดให้ยุ่งยากใจ
‘ หลังจากกำจัดศัตรูหมดแล้ว…ฉันค่อยเปิดเผยตัวตนที่แท้จริงให้แม่รู้ก็แล้วกัน อย่างไรซะ ก่อนหน้านี้ฉันก็รับปากท่านตากับลุงซุยไปแล้วว่าจะพาแม่กลับบ้าน ’
เมื่อคิดถึงเรื่องนี้ จ้าวเทียนก็รู้สึกอ่อนใจ เขาไม่รู้ว่าแม่จะยอมกลับไปโลกภายนอกพร้อมเขาหรือเปล่า เพราะเธอเองก็มีครอบครัวอยู่ที่นี่
ผ่านไปครู่หนึ่งผู้อาวุโสทุกคนก็มากันครบ ตอนนี้คนที่นั่งอยู่ด้านตรงข้ามของจ้าวเทียน ก็คือผู้อาวุโสใหญ่เปียนเจียวเมิ่ง เธอเป็นผู้นำตระกูลเปียนคนปัจจุบัน
‘ ฉันไม่คิดมาก่อน ว่าผู้นำของตระกูลเปียนจะเป็นผู้หญิง ’
จ้าวเทียนแปลกใจเล็กน้อย แม้ว่าเปียนเจียวเมิ่งจะดูมีอายุไม่แตกต่างจากแม่ของจ้าวเทียนมานัก แต่เขาดูออกว่าอายุที่แท้จริงของเธอนั้น มากกว่าแม่ของเขาเกือบสองเท่า
เนื่องจากเธอมีพลังอยู่ในขอบเขตเซียนขั้นสูง และน่าจะบรรลุขอบเขตเซียนได้ในตอนยังอายุน้อย ทำให้ยังคงรักษารูปโฉมเอาไว้ได้
เมื่อจ้าวเทียนลองตรวจสอบพลังของเธอดู เขาก็สัมผัสได้ว่าเธอน่าจะแข็งแกร่งกว่าแม่ของเขาที่มีพลังในระดับเดียวกันอยู่ครึ่งขั้น
ซึ่งนี่เป็นเรื่องธรรมดา เพราะเธอได้บรรลุขอบเขตนี้มาหลายสิบปีแล้ว แตกต่างกับแม่เขาที่เพิ่งบรรลุได้ไม่นาน
‘ ไม่แปลกใจที่ตระกูลเปียนกำลังจะขึ้นแทนที่ตระกูลเหยียน เพราะนอกจากพวกเขาจะมีเซียนขั้นสูงถึงสามคนแล้ว ผู้นำยังมีความแข็งแกร่งมากกว่าอีก ’
จ้าวเทียนถอนหายใจออกมาเบาๆ ตอนนี้ขุมกำลังทั้งสองฝ่ายแตกต่างกันอย่างชัดเจน
ฝ่ายของตระกูลเปียนที่เข้ามาร่วมประชุม มีทั้งหมดแปดคน ซึ่งมีสามคนเป็นเซียนขั้นสูง และอีกสองคนเป็นเซียนขั้นกลาง ส่วนที่เหลืออีกสามคนก็เป็นเซียนขั้นต่ำ
ในขณะเดียวกัน ฝ่ายของตระกูลเหยียนมีเซียนสิบสองคน แต่มีเซียนขั้นสูงเพียงคนเดียว เซียนขั้นกลางสามคน ส่วนอีกแปดคนที่เหลือเป็นเซียนขั้นต่ำ
หากทั้งสองฝ่ายเกิดการต่อสู้ขึ้นมาจริงๆ แค่เซียนขั้นสูงทั้งสามคนของตระกูลเปียนลงมือพร้อมกัน ก็เอาชนะตระกูลเหยียนได้แบบสบายๆแล้ว
หลังจากแม่ของจ้าวเทียนได้อธิบายเรื่องราวที่เกิดขึ้นทั้งหมด ซึ่งใช้เวลาประมาณยี่สิบนาที การประชุมตัดสินชะตากรรมของสำนักคุนหลุนก็เริ่มขึ้น
“ จากที่รองเจ้าสำนักบอกมา…ตอนนี้พวกเรากำลังเผชิญหน้ากับฝ่ายศัตรูซึ่งก็คือสำนักซงซาน หานซาน ไท่ซาน และเฮ่งซานถูกต้องใช่ไหม ” ชายชราคนหนึ่งพูดขึ้น เขามีชื่อว่าเปียนคังโฉว่เป็นรองผู้นำตระกูลเปียน มีพลังอยู่ในขอบเขตเซียนขั้นสูงเช่นกัน
“ ใช่แล้ว…เรื่องนี้เจียงลี่เป็นคนที่พบเจอมากับตัวเอง นอกจากนี้ฉันยังได้จับตัวคนทรยศของสำนักเรามาสอบสวนแล้ว แม้จะไม่รู้รายละเอียดอะไรมาก แต่ก็แน่ใจได้ว่าฝ่ายศัตรูจะบุกเข้ามาเร็วๆนี้แน่นอน ” เหยียนซือหนิงพูดขึ้นด้วยสีหน้าจริงจัง
เมื่อได้ยินแบบนี้เปียนคังโฉว่ก็เงียบไปครู่หนึ่ง เขาหันไปปรึกษากับพรรคพวกของตัวเองเป็นการส่วนตัว ก่อนที่จะถามขึ้นอีกครั้ง
“ ถ้าสมมุติว่าสิ่งที่บอกเป็นเรื่องจริง…แล้วคุณมีแผนจะจัดการเรื่องนี้อย่างไร ”
“ เรื่องนี้…ฉันต้องการความช่วยเหลือจากพวกคุณ ในการเปิดใช้ค่ายกลเซียนสี่สัตว์เทพที่ท่านผู้ก่อตั้งทิ้งไว้ ” พูดจบเหยียนซือหนิงก็นำกล่องหยกออกมา มันมีขนาดประมาณสองฝ่ามือ ถูกแกะสลักด้วยรูป มังกรเขียว เสือขาว หงส์แดงและเต่าดำ
“ นี่มัน…คุณแน่ใจงั้นเหรอ การจะใช้ค่ายกลเซียนสี่สัตว์เทพ จำเป็นต้องมีป้ายหยกของเจ้าสำนัก หรือไม่ก็ต้องใช้เซียนขั้นสูงสุดจึงจะสามารถควบคุมมันได้ ”
“ แน่นอนว่า…ตอนนี้พวกเราไม่มีป้ายหยก ดังนั้นถ้าต้องการใช้เซียนขั้นสูงสี่คนช่วยกันควบคุมค่ายกลนี้ นอกจากพลังของมันจะลดลงไปสามส่วนแล้ว ”
“ หากศัตรูตอบโต้อย่างรุนแรง…เซียนขั้นสูงที่ควบคุมค่ายกลอาจจะถูกผลสะท้อนกลับจนบาดเจ็บสาหัสหรือตายได้เลย ” เปียนคังโฉ่วพูดขึ้นด้วยแววตาเคร่งเครียด ความคิดของอีกฝ่ายนั้นเสี่ยงเกินไป
หากพลาดเพียงนิดเดียว พวกเขาคงจบสิ้นทันที
“ พวกเราไม่มีทางเลือกอื่นแล้ว…ฝ่ายตรงข้ามอาจจะมียอดฝีมือขอบเขตเซียนขั้นสูงสุดเกินสี่คน หากไม่ใช้ค่ายกลนี้ ก็คงไม่สามารถต้านทานได้แน่นอน ” เหยียนซือหนิงยืนกรานเสียงดัง
“ แล้วถ้าเราแจ้งทางสมาพันธ์ไปล่ะ…ฉันคิดว่าอีกฝ่ายคงไม่กล้าต่อต้านสมาพันธ์บู๊ลิ้มโดยเปิดเผยแน่นอน ” ชายชราอีกคนเสนอขึ้น
เขาเป็นเซียนขั้นสูงอันดับสามในตระกูลเปียน หากทำตามที่เหยียนซือหนิงบอก ก็เท่ากับเอาชีวิตของตัวเองไปเสี่ยง เขาจึงไม่อยากเลือกทางนี้
“ มันไม่มีประโยชน์…การที่อีกฝ่ายตัดสินใจบุกภายในวันนี้ ย่อมเตรียมการป้องกันเอาไว้แน่นอน กว่าสมาพันธ์จะมีคำสั่งออกมา สำนักคุนหลุนก็คงพังพินาศแล้ว ” เหยียนซือหนิงพูดแย้งออกมาทันที
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: จุติใหม่มหาเทพตี้เทียน