หลังจากการโจมตีหยั่งเชิงในครั้งนั้น บรรยากาศโดยรอบก็หนักอึ้งเหมือนตกอยู่ในหลุมลึกอันดำมืด ความกดดันมหาศาลถาโถมเข้าใส่พวกจ้าวเทียนราวกับต้องการบดขยี้พวกเขาให้จมดิน
“ ฉันคิดถูกจริงๆ ที่เข้ามาในโลกแห่งนี้ในช่วงเวลาสุดท้ายของชีวิต มีแต่ต้องเผชิญหน้ากับคู่ต่อสู้ที่แข็งแกร่งแบบนี้เท่านั้น ถึงจะทำให้ทะลวงขีดจำกัดของตนเองได้ ” ต้วนมู่เฉียนพูดขึ้นด้วยแววตาเฉียบคม เจตจำนงแห่งการต่อสู้ของเขาลุกโชนขึ้นอีกครั้ง
ห่างออกไปไม่ไกล เงาร่างของยอดฝีมือฝ่ายศัตรูทั้งหกเริ่มปรากฏขึ้นในสายตา พวกเขาเดินเหยียบอากาศเข้ามาด้วยท่าทีหยิ่งผยอง
กวาดมองทุกคนที่อยู่ตรงนี้เหมือนเป็นมดปลวก ไม่ควรค่าให้ใส่ใจ
“ วางท่าใหญ่โตนัก เป็นแค่กบในกะลาแท้ๆ ” โซเฟียบ่นกับตัวเองเบาๆ
เดิมทีตัวเธอเป็นถึงเทพโลกาหกชั้นฟ้า ที่เคยผ่านมหาสงครามเก้าท้องฟ้าสิบแผ่นดินมาก่อน แต่เพราะต้องจุติร่างทิพย์ลงมาในโลกมนุษย์ ทำให้พลังลดลงมาอยู่ในขอบเขตปราณทิพย์ขั้นสูง
หากเธอสามารถใช้พลังที่แท้จริงได้ แค่เพียงลมหายใจเบาๆของเธอ ก็เพียงพอแล้วที่จะบดขยี้ทั้งหกคนนี้ได้อย่างง่ายดาย
“ ระวังตัวด้วย ชายคนที่อยู่ด้านหน้าสุดไม่ธรรมดา ” จ้าวเทียนพูดเตือนทุกคน เขาสัมผัสได้ถึงพลังอันมหาศาลของฝ่ายตรงข้าม ที่น่าจะเหนือกว่าขอบเขตแดนเทพขั้นสูง
“ นายท่าน! มาช่วยพวกเราแล้ว ”
“ นั่นมัน อดีตท่านผู้นำรุ่นก่อนนี่นา ”
“ ในที่สุด พวกเราก็รอดแล้ว ”
พวกชายชุดดำต่างส่งเสียงโห่ร้องด้วยความดีใจ พวกเขาพยายามฝืนรั้งอาการบาดเจ็บแล้วลุกยืนขึ้น เพื่อจะกลับไปหาเจ้านาย
มีเพียงคนเดียวเท่านั้นที่มีสีหน้ากลืนไม่เข้าคายไม่ออก เพราะก่อนหน้านี้ในขณะที่ตัวเขากำลังจะเปิดเผยความลับออกไป กลับถูกเจ้านายพบเห็นเข้าพอดี
ถ้าไม่ใช่เพราะจ้าวเทียนช่วยเอาไว้ ตัวเขาคงถูกฆ่าปิดปากไปแล้ว
“ ได้โปรด ขอเพียงคุณช่วยปกป้องฉัน ฉันจะบอกความลับทุกอย่างของตำหนักเทวะให้คุณรู้ทั้งหมด ” ชายคนนั้นส่งเสียงทางลมปราณไปหาจ้าวเทียน
และเมื่อเห็นจ้าวเทียนพยักหน้า เขาก็รีบพาตัวเองไปอยู่ในสถานที่ปลอดภัย ให้อยู่ห่างจากอดีตเจ้านายที่สุด
“ เป็นแกเองสินะ จ้าวเทียน ” หยวนอวี้ถงพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงเย็นชา การที่อีกฝ่ายสามารถรับการโจมตีของเขาได้ โดยอาศัยเพียงความแข็งแกร่งของร่างเพียงอย่างเดียว
มันก็ทำให้ตัวเขา ต้องประเมินความสามารถของอีกฝ่ายใหม่อีกครั้ง
ถึงแม้ว่าหยวนอวี้ถงจะเก็บตัวฝึกฝนมาเป็นเวลานาน จนทำให้ไม่รู้จักเรื่องราวของจ้าวเทียนมากนัก แต่ด้วยการโจมตีหยั่งเชิงเมื่อครู่ ก็ทำให้เขารู้ได้โดยทันที ว่าความแข็งแกร่งของจ้าวเทียนเหนือกว่าที่บุตรชายบอกเอาไว้มาก
‘ ใบไม้ที่ฉันซัดออกไป แฝงไว้ด้วยเจตน์แห่งกระบี่อันแหลมคม แม้แต่พวกเจ้าตำหนักรุ่นก่อนที่ติดตามฉันมา ก็ไม่อาจรับไว้โดยง่ายดายแบบนี้ ’
“ แล้วคุณไม่คิดจะแนะนำตัวเองหน่อยเหรอ ว่ามีคุณสมบัติพอที่จะมาพูดคุยกับฉันหรือเปล่า” จ้าวเทียนใช้คำพูดหยั่งเชิงกลับไป เขาอยากรู้ข้อมูลและสถานะของฝ่ายตรงข้าม เพื่อที่จะวางแผนจัดการได้ถูก
“ เหอะ…เป็นแค่ผู้เยาว์ไม่รู้ความ กล้าใช้คำพูดอวดอ้างบารมีแบบนี้ได้ยังไง ฟังเอาไว้ซะ ผู้ที่อยู่ตรงหน้าแก ก็คืออดีตท่านผู้นำรุ่นก่อนของตำหนักเทวะของพวกเรา ยอดอัจฉริยะอันดับหนึ่งในประวิติศาสตร์ของตระกูลหยวนยังไงล่ะ”
หัวหน้ากองกำลังชุดดำพูดแทรกขึ้นเสียงดัง เหมือนต้องการข่มขวัญจ้าวเทียนให้หวาดกลัว
ซึ่งคำพูดของเขาก็ทำให้เจ้าตำนักรุ่นก่อนคนที่เหลือสีหน้าหมองคล้ำทันที แต่ก็ไม่มีใครกล้าพูดอะไร เพราะนั่นเป็นเรื่องจริง
“ หืม…ยอดฝีมืออันดับหนึ่งในประวิติศาสตร์งั้นเหรอ” จ้าวเทียนพยักหน้าด้วยความพอใจ ก่อนที่จะพูดขึ้นต่อ
“ ดีมาก ฉันนี่แหละจ้าวเทียน คนที่เคยสั่งสอนหยวนไป่เฉียนจนต้องหนีหัวซุกหัวซุนกลับไปอย่างสิ้นท่า ”
จ้าวเทียนยิ้มขึ้นอย่างเย้ยยัน พร้อมกับแกล้งมองไปยังคู่กรณีด้วยสายตาดูถูก เพื่อกระตุ้นให้อีกฝ่ายลงมือ
“ บัดซบ…อย่าอวดดีให้มันมากนัก ถ้าไม่ใช่เพราะมีเทพกระบี่คอยช่วยเหลือ แกคิดหรือว่าฉันจะพ่ายแพ้แบบนั้น ” หยวนไป่เฉียนตะโกนออกมาด้วยความเดือดดาลและอับอาย
“ หืม…งั้นจะลองสู้ดูอีกครั้งไหม แกกับฉันมาสู้ตัดสินกันตัวต่อตัว ไม่มีคนอื่นมายุ่งเกี่ยว ว่ายังไงล่ะ แกมีความกล้าไหม ” จ้าวเทียนพูดยั่วยุไปอีกครั้ง ถ้าเขาจัดการศัตรูที่แข็งแกร่งไปก่อนหนึ่งคน มันก็จะช่วยลดความกดดันให้กับคนอื่นๆได้มาก
“ ได้…งั้นก็มาสู้กัน คราวนี้ฉันจะสังหารแกในสิบกระบวนท่าให้ดู ” หยวนไป่เฉียนพูดขึ้นด้วยความมั่นใจ ครั้งนี้เขาได้รับอาวุธระดับศักดิ์สิทธิ์มาจากบิดา ไม่มีทางพ่ายแพ้แน่นอน
“ ช้าก่อน!...พวกเราไม่จำเป็นต้องเสียเวลาทำเรื่องไร้สาระแบบนั้น รีบจัดการทุกอย่างให้เสร็จ แล้วกลับไปที่สมาพันธ์บู๊ลิ้มดีกว่า ” เจ้าตำหนักรุ่นที่สามพูดแย้งขึ้นทันที
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: จุติใหม่มหาเทพตี้เทียน