ณ ฐานบัญชาการทหารภายในโลกหมิงหลง
หวังซินหยางและซูต๋าจี่กำลังนั่งดูภาพการต่อสู้ทั้งหมด อยู่ในอาคารสังเกตการณ์ บนหน้าจอขนาดใหญ่มีตัวเลขชี้วัดค่าพลังงานเกิดขึ้นเรื่อยๆ ทำให้พวกเขาสามารถรู้ถึงความรุนแรงในการโจมตีแต่ละครั้งของพวกเฉินจิ้งอย่างละเอียด
“ หืม…อาจิ้งพัฒนาขึ้นมาก เปลวไฟสีดำของเขาในตอนนี้ มีความรุนแรงถึงสี่แสนเมกะจูล หรือเทียบเท่ากับขีปนาวุธนำวิถีของอเมริกาเลยทีเดียว ” หวังซินหยางอ่านตัวเลขบนจอด้วยความชื่นชม
น่าเสียดายที่ตัวเขาอ่อนแอเกินไป จึงไม่สามารถช่วยเหลือในการต่อสู้ได้ ทำได้เพียงเฝ้ามองและควบคุมสถานการณ์อยู่ในฐานบัญชาการเท่านั้น
“ มนุษย์อย่างพวกนายนี่น่าสนใจจริงๆ ภายในเวลาไม่กี่ปี ถึงกับประดิษฐ์คิดค้นเครื่องมือแบบนี้ออกมาได้ ” ซูต๋าจี่มองภาพบนหน้าจอด้วยแววตาเป็นประกาย
ด้วยมันสมองของเซียนปีศาจระดับเธอ แค่หวังซินหยางอธิบายให้ฟังเพียงไม่กี่นาทีก็เข้าใจ หลักการในการวัดค่าพลังงานได้อย่างละเอียด
“ เท่าที่ดูตอนนี้…ผู้ที่มีการโจมตีแรงที่สุดก็คือผู้อาวุโสต้วนมู่ เคล็ดวิชาของเขาเน้นการโจมตีไปที่จุดเดียว วัดค่าพลังงานได้ถึงสองล้านเมกะจูล เทียบเท่ากับระเบิดนิวเคลียร์ขนาดย่อมได้เลย ”
“ เหอะ…ก็ชายคนนั้นได้รับการเสริมพลังจากออโรร่าไปนี่นา ความสามารถของเขาจริงๆ ไม่ได้แข็งแกร่งขนาดนั้นหรอก ” ซูต๋าจี่พูดขัดขึ้นด้วยความไม่สบอารมณ์
เธอรู้เรื่องที่เกิดขึ้นระหว่างต้วนมู่เฉียนกับนางพญางูเขียวดี กับผู้ชายที่ทอดทิ้งคนรักของตนเองเพื่อประเทศแบบนี้ ทำให้เธอรู้สึกไม่สบอารมณ์อย่างมาก
“ เอ่อ… ” หวังซินหยางอึ้งไปครู่หนึ่ง แต่เขาก็ฉลาดพอที่จะไม่เถียงออกมา ถึงแม้ว่าภายในใจจะไม่ค่อยเห็นด้วยก็ตามที
สำหรับชาวจีนทุกคน ต้วนมู่เฉียนเป็นผู้ชายที่น่าเคารพนับถือมากที่สุด หลายสิ่งหลายอย่างที่เขาได้เสียสละเพื่อประเทศ จะต้องถูกบันทึกลงไปในหน้าประวัติศาสตร์อย่างแน่นอน
“ ว่าแต่…พวกเราจะต้องรออีกนานแค่ไหน ถึงจะสังหารศัตรูได้ล่ะ เพราะนี่มันก็ผ่านมานานแล้ว อีกฝ่ายยังไม่มีทีท่าจะล้มลงไปสักที ” ซูต๋าจี่ถามเปลี่ยนประเด็นขึ้น
“ เท่าที่ระบบคำนวณออกมา คงอีกประมาณครึ่งชั่วโมง เพราะเครื่องป้องกันที่เขาสวมใส่อยู่นั้นแข็งแกร่งมาก ถ้าฉันคิดไม่ผิด มันคงจะอยู่ในระดับศักดิ์สิทธิ์เป็นอย่างน้อย อาวุธระดับเทพทั่วไปจึงแทบจะไม่มีผล ” หวังซินหยางพูดขึ้นด้วยท่าทีเคร่งเครียด
เพราะยิ่งผ่านเวลาไปนานเข้า พลังของทุกคนก็จะถูกบั่นทอนลงไปอย่างช้าๆ เนื่องจากต้องใช้เคล็ดวิชาไม้ตายโจมตีเข้าใส่ฝ่ายตรงข้ามไปเรื่อยๆ
ต่อให้มีการสนับสนุนจากโซเฟีย ก็ไม่แน่ว่าทุกคนจะมีพลังเหลือพอ ให้โจมตีต่อไปอีกถึงครึ่งชั่วโมงหรือเปล่า
ทันใดนั้น
“ แย่แล้ว…ผู้บัญชาการหวัง รีบมาดูตรงนี้เร็ว ” เจ้าหน้าที่คนหนึ่ง รีบชี้ไปที่จอภาพเล็กด้านซ้ายอย่างร้อนรน
“ นี่มัน…เป็นไปไม่ได้ ทำไมค่าพลังงานของหยวนเทียนหลงถึงกำลังเพิ่มสูงขึ้นเรื่อยๆล่ะ ตามหลักแล้ว เขาจะต้องอ่อนแอลงเป็นเวลาสามชั่วโมงไม่ใช่เหรอ ” หวังซินหยางพูดขึ้นด้วยความตกใจ
ภาพในหน้าจอนั้น มีดัชนีชี้วัดค่าพลังชีวิตของหยวนเทียนหลงอยู่ที่ห้าสิบแปดเปอร์เซ็นต์ และกำลังลดลงเรื่อยๆ ทีละหนึ่งถึงห้าเปอร์เซ็นต์ทุกครั้งที่ถูกโจมตี
ในทางกลับกัน ดัชนีชี้วัดค่าพลังงานของเขากลับเพิ่มสูงขึ้นทุกครั้งจากสี่สิบเปอร์เซ็นต์ในตอนแรก ขึ้นมาเป็นห้าสิบเปอร์เซ็นต์และกำลังจะพุ่งสู่หกสิบเปอร์เซ็นต์ในอีกไม่ช้า
ทั้งที่ตอนนี้ เวลาเพิ่งจะผ่านมาได้เพียงยี่สิบนาทีเท่านั้น ตั้งแต่ที่เขาถูกโจมตีด้วยปืนลำแสง
“ ปืนลำแสงของพวกเราใช้กับเขาไม่ได้ผลสินะ แบบนี้แย่แล้ว ฉันจะต้องรีบเตือนทุกคนทันที ” หวังซินหยางรีบหยิบเครื่องมือสื่อสารขึ้นมา
แต่ยังไม่ทันที่เขาจะได้เปิดใช้งาน ก็หันไปเห็นซูต๋าจี่กำลังจะเดินออกไป จึงรีบร้องห้ามเอาไว้เสียก่อน
“ ผู้อาวุโส คุณออกไปก็ช่วยอะไรไม่ได้หรอก ศัตรูคนนี้อยู่เหนือไปจากการคาดการณ์ของพวกเรามาก ”
“ ฐานบัญชาการแห่งนี้ จำเป็นต้องมีคุณคอยปกป้อง ไม่อย่างนั้นหากศัตรูบุกเข้ามาพวกเราคงต้องตายกันหมดแน่ ตอนนี้พวกเราต้องเชื่อใจผู้อาวุโสคังหลิน เขาจะต้องมีวิธีรับมือแน่นอน ” พูดจบหวังซินหยางก็รีบติดต่อไปหาคังหลินทันที
ซึ่งคำพูดของหวังซินหยางก็ได้ผล ซูต๋าจี่นิ่งไปครู่หนึ่ง ก่อนจะเดินกลับมานั่งลงที่เดิม ด้วยท่าทีหงุดหงิดและพยายามอดกลั้นตัวเองไว้
‘ เขาพูดถูก ต่อให้ฉันออกไปช่วย ก็คงทำอะไรไม่ได้อยู่ดี ที่สำคัญฐานบัญชาการแห่งนี้ยังมีอาวุธลับที่จะใช้จบสงครามติดตั้งอยู่ จะปล่อยให้ถูกทำลายไปไม่ได้เด็ดขาด ’
“ หวังว่าทุกอย่างคงจะผ่านไปด้วยดีนะ ฉันรู้สึกสังหรณ์ใจยังไงไม่รู้ ” หวังซินหยางพูดกับตัวเองเบาๆ สายตาของเขามองไปที่ภาพบนจอด้วยความกังวล
ตอนนี้พวกเขาต้องแข่งกับเวลา เพราะจากการคำนวณของระบบปฏิบัติการ ศัตรูจะใช้เวลาทั้งหมดห้านาทีในการฟื้นคืนพลังจนสมบูรณ์
ในเวลาเดียวกัน
คังหลินที่เพิ่งเก็บเครื่องมือสื่อสารไป ก็ถอนหายใจออกมาด้วยความหนักใจ ศัตรูคนนี้ไม่เหมือนกับพวกที่ผ่านมา เขาลองคิดดูแล้วคงมีแต่จ้าวเทียนเท่านั้น ที่มีพลังมากพอจะสังหารฝ่ายตรงข้ามได้
“ ปิงหยู…เป็นอย่างไรบ้าง พอจะปลุกศิษย์น้องให้ฟื้นขึ้นมาได้ไหม ” คังหลินถามขึ้นด้วยความคาดหวัง
“ คือ…หนูพยายามส่งพลังเข้าไปในโลกภายในของอาจารย์แล้ว แต่มันกลับส่งผลเพียงเล็กน้อยเท่านั้น เนื่องจากโลกภายในของอาจารย์แข็งแกร่งจนเกินไป ด้วยพลังของหนูเพียงคนเดียว คงไม่สามารถเติมเต็มมันได้ ” โม่ปิงหยูพูดขึ้นด้วยใบหน้าซีดขาว ตลอดเวลาที่ผ่านมาเธอพยายามใช้พลังฟื้นฟูให้จ้าวเทียนอยู่เรื่อยๆ จนรู้สึกเหน็ดเหนื่อยมาก
อาการสิ้นสติของจ้าวเทียนนั้น เกิดจากการใช้พลังจนเกินขีดจำกัดของตนเอง ทำให้ต้องอยู่ในสภาวะหลับจำศีลเพื่อฟื้นฟูพลัง
ซึ่งด้วยความพิเศษของโลกภายในของจ้าวเทียน แค่ปล่อยให้เขาหลับไปสักหนึ่งถึงสองวันก็จะสามารถตื่นขึ้นมาเองด้วยพลังที่เต็มเปี่ยม โดยไม่ต้องอาศัยความช่วยเหลือจากภายนอกแม้แต่น้อย
แตกต่างจากคนอื่น ที่อาจจะต้องใช้เวลาพักฟื้นเป็นอาทิตย์หรือเป็นเดือน…
“ งั้นคงไม่มีทางเลือกแล้ว พวกเราจะถอนตัวเดี๋ยวนี้ ” คังหลินหยิบเอาค่ายกลเคลื่อนย้ายออกมาติดตั้งอย่างรวดเร็ว
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: จุติใหม่มหาเทพตี้เทียน