เสี้ยววินาทีนั้นเอง ที่ชายผมขาวได้เห็นเทพมังกรทั้งสอง สีหน้าเขาก็เปลี่ยนเป็นเคร่งเครียดพร้อมกับหลุดปากพูดออกมาอย่างลืมตัว
“ มังกรบรรพกาลแห่งมิติโกลาหล ”
“ อืม…รู้จักตัวตนของฉันด้วย ดูเหมือนจะเป็นอย่างที่คิดจริงๆสินะ ” เทพมังกรอ๋าวเฟิงจ้องมองฝ่ายตรงข้ามด้วยสีหน้าจริงจัง ก่อนจะพูดขึ้นต่อ
“ แท้จริงแล้ว…แกก็คือร่างอวตารของวานรเทพสามตา สัตว์อสูรรับใช้ในพันธสัญญาของผานกู่เมื่อหลายล้านๆปีก่อน ”
!!
“ หุบปากซะ ข้าไม่ใช่อสูรรับใช้เสียหน่อย หากไม่ใช่เพราะถูกผานกู่พบเจอตอนกำลังจุติกายแท้เข้ามาในเอกภพแห่งนี้ จนเหลือพลังไม่ถึงสามส่วน คิดหรือว่าตัวตนที่สูงส่งอย่างข้า จะถูกจองจำไว้ในพันธสัญญาได้เช่นนั้น ”
“ เหอะ! ทำเป็นพูดดีไปเถอะ ถ้าไม่ใช่เพราะผานกู่ยอมมีเมตตาไว้ชีวิต คิดหรือว่าแกจะมายืนต่อปากต่อคำกับพวกฉันได้ ” เทพมังกรอ๋าวเถียนแค่นเสียงพูดขึ้นอย่างเย็นชา ตัวเขาเป็นมังกรมารที่มีนิสัยโหดเหี้ยม จึงไม่คิดจะไว้หน้าศัตรูแม้แต่น้อย
“ นี่เจ้ากล้าดูหมิ่นข้างั้นรึ…เป็นร่างแยกที่จุติขึ้นใหม่แท้ๆ จงระวังคำพูดเอาไว้บ้าง ” ชายผมขาวพูดขึ้นพร้อมกับปล่อยจิตสังหารออกมา
เมื่อเห็นแบบนั้น เทพมังกรอ๋าวเถียนที่มีอารมณ์โมโหง่ายอยู่แล้ว ก็รู้สึกเหมือนตัวเองกำลังถูกท้าทายจึงเตรียมจะลงมือ แต่ก็โดนพี่น้องของตนห้ามเอาไว้เสียก่อน
“ ตั้งแต่ผานกู่ดับสูญไป ตัวแกก็หายไปด้วย จนฉันเผลอคิดว่าตายไปแล้วหรือกลับไปยังที่มิติโกลาหลซะอีก ไม่นึกเลยว่า จะอุปโลกน์ตนเองเป็นเต๋าสวรรค์แล้วแอบก่อเรื่องราวมากมายขนาดนี้ ” เทพมังกรอ๋าวเฟิงพูดออกมาด้วยน้ำเสียงเย็นชา
ตอนแรกที่ได้ยินเรื่องเต๋าสวรรค์จากจ้าวเทียน เขาเองก็นึกสงสัยอยู่ว่าเป็นฝีมือของใคร แต่ตอนนี้ได้รับคำตอบเรียบร้อย
“ ข้าจะทำอะไร จำเป็นต้องขออนุญาตเจ้าด้วยเหรอ อย่าลืมสิว่าตัวเจ้าในตอนนี้ไม่ได้ทรงพลังเหมือนอดีตแล้ว อีกทั้งยังแบ่งแยกดวงวิญญาณออกเป็นเก้าส่วนอีก เพราะฉะนั้นจงอย่ามายุ่งเกี่ยวเรื่องของข้าให้มันมากความ ”
“ ครบเวลาตามพันธสัญญาเมื่อไหร่…พวกเจ้าจะได้ออกจากจักรวาลนี้ไปแบบสมบูรณ์พร้อม นี่จึงเป็นสิ่งที่เหมาะสมที่สุด ” ชายผมขาวพูดขึ้นด้วยสีหน้าเย้ยหยัน จริงอยู่ที่ในอดีตเขายังรู้สึกหวั่นเกรงอีกฝ่ายอยู่บ้าง แต่ตอนนี้มันไม่ใช่อีกต่อไปแล้ว
“ หรือว่า…แกเองก็หมายตาของสิ่งนั้นอยู่เหมือนกัน ” เทพมังกรอ๋าวเถียนมีสีหน้าเปลี่ยนไปทันที
“ หึหึ ถ้าไม่ใช่เพราะสิ่งที่ผานกู่ทิ้งไว้ คิดหรือว่าข้าจะปล่อยให้ศัตรูอย่างพวกเจ้ามีชีวิตอยู่จนถึงตอนนี้ ” ชายผมขาวพูดขึ้นด้วยรอยยิ้ม หากไม่ใช่เพราะกลัวว่าการสังหารอีกฝ่ายจะทำให้ผนึกสลายก่อนเวลาอันควร เขาคงลงมือไปนานแล้ว
ในเวลาเดียวกันนั้นเอง
ในระหว่างที่จ้าวเทียนยืนฟังทั้งสองฝ่ายตอบโต้กัน เขาก็ได้เข้าใจเรื่องราวทุกอย่างมากขึ้นกว่าเดิม ปัญหาทุกอย่างที่เคยสงสัยในอดีต บัดนี้ก็ได้รับคำตอบเป็นที่เรียบร้อยแล้ว
‘ ที่แท้เต๋าสวรรค์ก็ถือกำเนิดจากภายนอกจักรวาล เหมือนกับเทพมังกรอ๋าวเฟิง เพียงแต่อีกฝ่ายมีจุดประสงค์แอบแฝงจึงจุติเข้ามาในจักรวาลของพวกเรา แต่โชคร้ายที่ถูกมหาเทพผานกู่พบเจอตัวเข้าเสียก่อน ก็เลยต้องยินยอมเป็นอสูรรับใช้เพื่อเอาชีวิตรอด ’
‘ จนกระทั่ง เมื่อมหาเทพผานกู่เสียสละชีวิตตนเองเพื่อทำให้วัฏจักรของจักรวาลสมบูรณ์ วานรเทพสามตาก็เป็นอิสระ และต้องการจะทำตามเป้าหมายเดิมอีกครั้ง ’
‘ แต่เพราะยังรู้สึกหวาดกลัวในตัวผู้อาวุโสอ๋าวเฟิง ซึ่งในเวลานั้นยังเป็นมังกรบรรพกาลแห่งมิติโกลาหลอยู่ ก็เลยเลือกที่จะหลบซ่อนตัวเป็นเวลานาน ’
‘ จนเมื่อหกสิบห้าล้านปีก่อน ที่อุกกาบาตลูกใหญ่ตกลงมาบนโลก ทำให้ผู้อาวุโสอ๋าวเฟิงต้องเสียสละตนเองใช้พลังแช่แข็งจักรวาลทั้งหมด เพื่อผนึกของสิ่งนั้นเอาไว้ในแกนโลกจนกว่าจะถึงเวลาที่เหมาะสม ’
เมื่อคิดมาถึงตรงนี้ จ้าวเทียนก็รับรู้ได้โดยสัญชาตญาณเลยว่าอุกกาบาตลูกนั้น อาจเป็นการกระทำของวานรเทพสามตาเอง เพื่อทำให้ผู้อาวุโสอ๋าวเฟิงอ่อนแอลง จนมันสามารถเคลื่อนไหวได้อย่างสะดวก
บางทีการหายตัวไปของสามผู้ปกครองเอกภพ และการเกิดขึ้นของมหาสงครามสิ้นยุค ที่ทำให้แดนสวรรค์บรรพกาลต้องล่มสลายไป อาจจะเป็นฝีมือของฝ่ายตรงข้ามทั้งหมด
‘ จะว่าไปฉันเองก็นึกสงสัยอยู่แล้ว ในอนาคตอีกหนึ่งแสนปีข้างหน้า การปรากฏตัวของเทพอสูรผมแดงนั้นไม่ใช่เรื่องปกติ ทั้งพลังและความสามารถของเขาเหมือนไม่ใช่ของจักรวาลนี้ ’
‘ ที่สำคัญ ดูเหมือนอีกฝ่ายจะรับรู้ถึงตัวตนของเต๋าแห่งสวรรค์อยู่แล้ว เลยต้องการชักชวนให้ฉันต่อสู้ไปร่วมกัน ’
‘ สิ่งนี้แสดงให้เห็นว่า เต๋าแห่งสวรรค์จะต้องมีอยู่ในจักรวาลแห่งอื่นด้วย และการจะทำลายมันให้สิ้นซาก จำเป็นต้องทำลายต้นกำเนิดให้หมด จึงเป็นเหตุผลที่เทพอสูรผมแดงบุกเข้ามายังจักรวาลแห่งนี้ ’
ความจริงที่ได้รู้ ทำให้จ้าวเทียนร่างกายสั่นสะท้านอย่างไม่อาจควบคุมได้ เพราะไม่รู้ว่าศัตรูของเขายังมีตัวตนอยู่ในจักรวาลอีกกี่แห่ง บางทีมันอาจจะเป็นการต่อสู้ที่ไม่มีวันจบสิ้นก็เป็นได้
!!
ในขณะนั้นเอง ก็ได้มีมือบอบบางที่แสนอบอุ่นมากุมมือของจ้าวเทียนเอาไว้ พร้อมกับเสียงอันอ่อนโยนที่ถามขึ้นด้วยความเป็นห่วง
“ นายเป็นอะไรหรือเปล่า ได้รับบาดเจ็บตรงไหนไหม ” ลี่เหยาเหยาถามออกมาเบาๆ เธอสังเกตเห็นท่าทีผิดปกติของจ้าวเทียนจึงรีบเข้ามาหาทันที โดยไม่สนใจสิ่งที่เขาห้ามไว้ในตอนแรก
และไม่ใช่แค่ลี่เหยาเหยาเท่านั้น คนอื่นๆทั้งกงเสี่ยวเหมย โม่ปิงหยู เฉินจิ้ง และพวกพ้องทุกคน ต่างก็เข้ามายืนอยู่ด้านหลังจ้าวเทียนเช่นเดียวกัน
เป็นการแสดงให้เห็นว่า หากเกิดการต่อสู้ขึ้นจริงๆ ไม่มีใครยอมทอดทิ้งจ้าวเทียนหนีเอาตัวรอดแน่นอน นี่เป็นสายสัมพันธ์อันแน่นแฟ้นของพวกเขาที่ไม่ต้องพูดออกมา ก็สามารถรับรู้มันได้ด้วยใจ
‘ งั้นเหรอ…เป็นแบบนี้เองสินะ ฉันไม่ได้ต่อสู้อยู่เพียงลำพังเหมือนเหตุการณ์ในอนาคตที่จากมาอีกแล้ว ตอนนี้ฉันมีทุกคนอยู่เคียงข้าง ไม่ว่าจะต้องเผชิญหน้ากับอะไร พวกเราก็จะต่อสู้ไปด้วยกัน ’
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: จุติใหม่มหาเทพตี้เทียน