ณ โลกแห่งมาร ดินแดนมืดมิดที่เต็มไปด้วยกลิ่นอายชั่วร้าย นับตั้งแต่พ่ายแพ้สงครามเมื่อหนึ่งหมื่นปีก่อน สถานที่แห่งนี้ก็ถูกฝ่ายพันธมิตรแห่งแสงลงผนึกอาคมเอาไว้ ให้ไร้ซึ่งแสงตะวันจันทราดุจหลุมอเวจีขุมขังสัตว์ร้าย ให้พวกพวกมันต่อสู้ฆ่าฟันกันเอง
ระดับการปกครองในโลกมารนั้น เข้มงวดด้านสถานะชนชั้นเป็นอย่างมาก ยิ่งกว่าระบบศักดินาของมนุษย์ยุคกลางเสียอีก
ทำให้พวกมารระดับต่ำที่เพิ่งถือกำเนิดใหม่ มีชีวิตอันเลวร้ายยิ่งกว่าทาสบนโลกมนุษย์ นอกจากพวกมันจะถูกใช้งานจนไม่มีหยุดพักแล้ว ยังต้องกลายเป็นเสบียงรบให้กองทัพกลืนกินยามเกิดศึกสงครามอีกด้วย
เรียกได้ว่า การมีสถานะเป็นชนชั้นล่างในโลกแห่งมาร จะไร้ซึ่งอนาคตและศักดิ์ศรีโดยสิ้นเชิง บางทีการตายของพวกมัน อาจจะถือเป็นหนทางดับทุกข์ประการหนึ่ง
น่าเสียดายที่มารระดับต่ำพวกนี้จะถูกตีตราโลหิตตั้งแต่ถือกำเนิด เลยหมดสิทธ์เลือกสถานที่ตายตามใจปรารถนาได้ ต้องทนใช้ชีวิตเป็นข้าทาสตราบจนสิ้นอายุขัยไปเอง
นี่จึงเป็นเหตุผล ที่เมื่อมีมนุษย์ทำพิธีอัญเชิญ พวกมันก็จะรีบตอบรับด้วยความยินดี ทั้งยังล่อลวงให้ทำพันธสัญญาณผูกมัดวิญญาณ
เพื่อหลบหนีออกจากขุมนรกที่คุมขังตนเอง ไปสู่โลกที่เต็มไปด้วยเหยื่อแสนอ่อนแอมากมาย สามารถกลืนกินและอาละวาดปลดปล่อยสัญชาตญาณดิบเถื่อนได้เต็มที่
“ ผ่านไปหนึ่งเดือนแล้วสินะ ไม่รู้สถานการณ์บนโลกมนุษย์จะเป็นเช่นไรบ้าง ” โฮ่วอี้พูดออกมาเบาๆด้วยท่าทีครุ่นคิด พร้อมกับยกกาสุราขึ้นมาเทใส่ปากจนหมดสิ้นในคำเดียว ก่อนจะพยักหน้าด้วยความพึงพอใจ
ตอนนี้ โฮ่วอี้ยืนอยู่บนแผ่นหินสีดำหนากว้างประมาณยี่สิบเมตร ภายในโพรงถ้ำขนาดใหญ่ที่เต็มไปด้วยลาวาอันร้อนแรง สายตาของเขาจ้องมองไปยังต้วนมู่เฉียน ที่กำลังแช่ตัวอยู่ในบ่อโลหิตสีดำ โดยมีเสียวชิงคอยเฝ้าดูแลอยู่ไม่ห่าง
“ เจ้าช่วยกินให้มันน้อยๆหน่อยได้หรือไม่ รู้ไหมว่า สุราโลหิตมังกรบรรพกาลของข้าต้องใช่เวลาหมักบ่มถึงหนึ่งพันปี ทั้งยังผสมสมุนไพรล้ำค่ามากมายลงไป มูลค่าของมันหนึ่งกา เหนือกว่าสมบัติระดับศักดิ์สิทธิ์เสียอีก ”
“ และที่สำคัญ เผ่ามังกรบรรพกาลในยุคนี้ก็แทบจะหายสาบสูญไปหมดแล้ว กว่าข้าจะค้นพบซักตัวก็ไม่ใช่เรื่องง่าย ทั้งยังต้องตรวจสอบให้ชัดเจนว่าอีกฝ่ายสวามิภักดิ์กับขุมอำนาจอื่นอยู่หรือเปล่า ซึ่งนั่นก็สร้างความยุ่งยากให้ข้าเป็นอย่างมาก ”
ชายวัยกลางคนสวมชุดเกราะสีดำพูดขึ้นด้วยความหงุดหงิด เขามีรูปร่างกำยำสูงเกือบสี่เมตรเหมือนภูเขาขนาดย่อม ขนาดกำลังนั่งอยู่บนพื้นยังสูงกว่าโฮ่วอี้เกือบเท่าตัว
“ ป๋อฮั่น เจ้าเป็นถึงหนึ่งในสามเทพอสูรผู้ยิ่งใหญ่ จะมาเสียดายอะไรกับสุราไม่กี่กาล่ะ หรือถ้ามันจะหมดจริงๆ เดี๋ยวข้าไปจับมังกรบรรพจากแดนสวรรค์กลับมาให้เจ้าก็ได้ ”
“ ดูเหมือนจะมีอยู่สองตัวพอดี เป็นสัตว์ขี่ของมหาเทพองค์ปัจจุบัน กับบรรพชนผู้พิทักษ์ของอาณาจักรเทวะตำนาน ” โฮ่วอี้แสดงสีหน้าไม่ได้รับความเป็นธรรม เมื่อเห็นสหายเก่าเก็บสุราที่เหลืออีกสี่กากลับไป
“ เหอะ หยุดพูดเหมือนข้าใจแคบได้แล้ว ตลอดหนึ่งเดือนที่ผ่านมาเจ้ากินสุราโลหิตมังกรบรรพกาลของข้าไปกว่าครึ่ง ถ้ายังปล่อยให้เป็นเช่นนี้ต่อไป กว่าศิษย์ของเจ้าจะหลอมรวมโลหิตมารเสร็จ สุราของข้าคงไม่เหลือแน่นอน ”
“ ส่วนเรื่องที่จะไปจับมังกรบรรพกาลสองตัวนั้น อย่าแม้แต่จะคิด เพราะถ้าขุมกำลังของอีกฝายจับตัวเจ้าไม่ได้ ก็จะมาคิดบัญชีที่ข้าแทน ” ป๋อฮั่นพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงเย็นชา
ด้วยความแข็งแกร่งของเขา หากต้องการจับมังกรสองตัวนั้นไม่ใช่เรื่องยาก เพียงแต่ผลลัพธ์ที่ได้ อาจเป็นชนวนให้เกิดสงครามใหญ่อีกครั้ง
“ หึหึ ดูเหมือนกาลเวลาอันยาวนานจะทำให้นิสัยเจ้าเปลี่ยนไปจริงๆ หากเป็นสมัยก่อนเจ้าคงทำตามใจตนเองโดยไม่สนเหตุผลอะไรทั้งสิ้น ”
“ แล้วนั่นไม่ใช่เพราะฝีมือพวกเจ้าหรืออย่างไร หากราชันเทพอสูรยังคงอยู่ พลังของข้าก็คงไม่ลดต่ำลงมาถึงเพียงนี้ ” พูดจบป๋อฮั่นก็ถอนหายใจออกมา
ตัวเขาถือกำเนิดจากเลือดเนื้อของราชันเทพอสูร จึงไม่แปลกที่เมื่อเจ้าชีวิตดับสูญไป ผู้ใต้บัญชาก็พลอยได้รับผลกระทบไปด้วย ทำให้ตอนนี้เขาเหลือพลังไม่ถึงสองส่วนจากอดีตด้วยซ้ำ
“ สหายเอ๋ย ถ้าราชันเทพอสูรไม่ถูกสังหาร เจ้าก็จะมีชีวิตไม่ต่างไปจากหุ่นเชิด ไร้สติความนึกคิดเป็นของตนเอง แบบนั้นมันดีแล้วจริงๆรึ ”
ป๋อฮั่นที่ได้ยินก็นิ่งเงียบไปครู่หนึ่ง ก่อนจะถอนหายใจเบาๆ แล้วหยิบสุราโลหิตมังกรออกมาหนึ่งกา ยื่นให้โฮ่วอี้แทนคำตอบ ซึ่งอีกฝ่ายก็รับไปด้วยความเต็มใจ
แต่ทันใดนั้น
ครืนนนนน!
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: จุติใหม่มหาเทพตี้เทียน