ต่อให้จ้าวเทียนจะไม่ได้เชี่ยวชาญในศาสตร์แห่งการทำนาย แต่เคล็ดวิชานับพันสายของสำนักดาราสวรรค์ล้วนแต่เคยผ่านตาเขามาทั้งสิ้น
จึงเป็นเหตุผลให้เขาสามารถรับรู้ถึงความผิดปกติได้ในทันที แตกต่างจากคังหลินที่ถึงแม้จะฝึกฝนอยู่ในสำนักมาหลายพันปี แต่ก็มุ่งเน้นเพียงด้านค่ายกลและเคล็ดวิชาต่อสู้เท่านั้น
“ นี่…เอ่อ ” คังหลินมองสลับระหว่างจ้าวเทียนกับหลินซูซินด้วยความสับสนเล็กน้อย ก่อนจะเหมือนนึกอะไรขึ้นมาได้ แล้วรีบสะบัดมือออกไปเบาๆ เพื่อกางเขตอาคมปิดกั้นการสอดแนมจากโลกภายนอกทั้งหมด
“ อืม…ดูเหมือนจะปิดบังศิษย์น้องไม่ได้จริงๆ แต่ที่ฉันจำเป็นต้องเล่นละครไปแบบนี้ ก็เพราะฝ่ายตรงข้ามไม่อยากให้เทพโอซีริสและเทพีอามาเทราสุ รู้เรื่องการติดต่อของพวกเรา ” หลินซูซินหยุดไปครู่หนึ่ง ก่อนจะพูดขึ้นต่อด้วยน้ำเสียงจริงจัง
“ ตอนนี้จ้าวหยูเหมยได้ถูกช่วยเหลือออกมาเรียบร้อยแล้ว เธอได้รับบาดเจ็บเพียงเล็กน้อยเท่านั้น และกำลังพักผ่อนอยู่ในสถานที่ปลอดภัย ขอให้พวกเราไม่ต้องเป็นห่วง ”
!!
“ นี่มัน…เป็นความจริงเหรอ ” สีหน้าของเหยียนซือหนิงเปลี่ยนไปทันที เมื่อได้รับข่าวของบุตรสาวอันเป็นที่รัก
และก็ไม่ใช่เพียงแค่เธอเท่านั้น ทั้งลี่เหยาเหยา โม่ปิงหยู กงเสี่ยวเหมย และทุกๆคนที่อยู่ในห้อง ต่างรู้สึกเหมือนได้ยกภูเขาออกจากอกไปตามๆกัน
“ เป็นความจริงแน่นอน ฝ่ายตรงข้ามได้แสดงภาพนิมิตให้ฉันเห็นอย่างชัดเจน จ้าวหยูเหมยกำลังนอนหลับอยู่ในอารามอันเงียบสงบแห่งหนึ่ง ที่ข้างกายของเธอยังมีเขตอาคมคุ้มกันอย่างแน่นหนาอีกด้วย ”
หลินซูซินตอบพร้อมกับมองไปทางจ้าวเทียนอย่างจริงจัง ซึ่งก็ทำให้เขารีบถามขึ้นทันที
“ พวกเขามีเงื่อนไขอะไร ศิษย์พี่หญิงคุณรีบบอกออกมาเถอะ ”
“ อันที่จริงเงื่อนไขข้อแรกก็ไม่มีอะไรมาก อีกฝ่ายต้องการให้ศิษย์น้องไปพบเพียงลำพังตามสถานที่นัดหมาย ปัญหาอยู่ที่เงื่อนไขข้อหลัง พวกเขาต้องการทราบเบาะแสสถานที่พำนักของอาจารย์ปู่ ” หลินซูซินพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงเคร่งเครียด
ตอนนี้ทั่วทั้งจักรวาลต่างรู้ดีว่า จักรพรรดิเทพบรรพกาลโฮ่วอี้ได้ปรากฏตัวขึ้นอีกครั้ง ทั้งยังมีความสัมพันธ์ใกล้ชิดกับสำนักดาราสวรรค์อีกด้วย ซึ่งทางเดียวที่จะตามหาตัวเขาพบ ก็มีเพียงสืบค้นเอาจากพวกเธอเท่านั้น
“ บัดซบ! นี่มันก็ไม่แตกต่างจากพวกวังสวรรค์เลยไม่ใช่เหรอ สุดท้ายก็ต้องการให้พวกเราเรียกอาจารย์หรืออาจารย์ปู่ออกมาอยู่ดี ” คังหลินพูดขัดขึ้นด้วยความไม่พอใจ ทำให้คนอื่นๆในห้องสีหน้าหมองคล้ำลงอีกครั้ง
ใช่แล้ว…มันไม่ต่างไปจากเดิมจริงๆ เพียงแค่เปลี่ยนคนถูกจับเป็นตัวประกันเท่านั้น
“ ศิษย์พี่หญิง คุณคิดยังไงกับเรื่องนี้ ” จ้าวเทียนถามขึ้นด้วยท่าทีสงบนิ่งผิดปกติ แตกต่างไปจากที่คนอื่นๆคาดคิดไว้อย่างมาก
“ ฉันว่า ศิษย์น้องควรไปพบพวกเขาดูก่อนนะ ส่วนเรื่องของอาจารย์ปู่บางทีเราอาจจะพอต่อรองกันได้ เพราะครั้งนี้ผู้เสนอเงื่อนไขก็คือ พระอมิตาพุทธแห่งแดนสุขาวดี ”
!!
“ อะไรนะ ”
“ นี่เรื่องจริงเหรอ ”
คราวนี้แม้แต่จ้าวเทียนเองก็ยังมีสีหน้าแข็งค้างด้วยความตกใจ…
เขาไม่เคยคิดมาก่อนว่าผู้ที่ช่วยเหลือน้องสาวตนจะเป็นแดนสุขาวดี ซึ่งไม่เคยยุ่งเกี่ยวกับเรื่องราวความขัดแย้งทั้งปวงในสามภพ
อีกทั้งผู้ที่ต้องการพบตน…ก็ยังเป็นถึงพระอมิตาพุทธซึ่งมีตำแหน่งเป็นรองเพียงพระยูไลอีกด้วย
ณ เมืองลาซ่า เขตปกครองทิเบต
ตอนนี้เป็นเวลาสี่โมงเย็น ห่างจากเวลานัดหมายไม่มากนัก จ้าวเทียนก้าวเดินขึ้นภูเขาอันสูงชันห่างไกลผู้คนด้วยความรู้สึกกดดัน เพราะรู้สึกเหมือนมีพลังงานบางอย่างปกคลุมภูเขาทั้งลูกเอาไว้ ทำให้ไม่อาจบินผ่านไปได้
ยิ่งเขาก้าวเดินขึ้นไปมากเท่าไหร่ พลังของสรรพสิ่งรอบด้านก็เหมือนจะกดทับลงมามากขึ้นเท่านั้น แทบจะไม่แตกต่างจากการเดินแบกภูเขาทั้งลูกเอาไว้บนหลังแม้แต่น้อย
‘ ความรู้สึกนี้อีกแล้ว เหมือนมีใครบางคนกำลังจับตามองฉันอยู่ ’
ด้วยความแข็งแกร่งของจ้าวเทียนในตอนนี้ ความกดดันที่ได้รับไม่ได้สร้างความลำบากให้เขาเท่าไหร่นัก แต่ปัญหาคือจิตสังหารของบุคคลลึกลับที่คอยก่อกวนเล็งมายังจุดอ่อนของเขาตลอดเวลาต่างหาก ทำให้เขาต้องสิ้นเปลืองพลังจิตวิญญาณมากขึ้นหลายเท่า
ไม่ว่าจ้าวเทียนจะพยายามปรับเปลี่ยนการเคลื่อนไหวให้รัดกุมขึ้น หรือปกปิดช่องโหว่ขนาดไหน สัญชาตญาณของเขาก็ยังสัมผัสได้ถึงอันตรายทุกฝีก้าวดังเดิม คล้ายกับว่ากำลังเดินทางขึ้นสู่แท่นประหารเซียนไม่มีผิด
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: จุติใหม่มหาเทพตี้เทียน