จุติใหม่มหาเทพตี้เทียน นิยาย บท 560

ณ สนามรบของเทพมารยุคบรรพกาล

พื้นที่ชายขอบจักรวาลอยู่ห่างจากแดนสวรรค์หลายล้านปีแสง ซึ่งเต็มไปด้วยห้วงมิติที่พังทลายและเศษซากดวงดาวมากมายนับไม่ถ้วน

แม้เวลาจะผ่านมายาวนานนับล้านปี แต่ก็ยังคงสามารถสัมผัสกลิ่นอายแห่งความบ้าคลั่งรวมไปถึงจิตสังหารตกค้างจากมหาสงครามในอดีตได้ชัดเจน

ก่อนศึกแย่งชิงตำแหน่งมหาเทพจะเริ่มขึ้นในอีกสามวัน…

สุสานดวงดาวที่ปราศจากแขกผู้มาเยือนนานนับหมื่นปี ก็กลับกลายเป็นสถานที่รวมตัวของเหล่าผู้แข็งแกร่งขอบเขตเทพโลกานับแสน และขอบเขตแดนเทพมากมายหลายสิบล้านคน

ไม่ว่าจะเป็นหกขุมกำลังชั้นยอด ร้อยขุมกำลังระดับสูง หนึ่งพันขุมกำลังระดับกลาง สองหมื่นขุมกำลังระดับต่ำหรือแม้กระทั่งราชวงศ์ผู้ปกครองแห่งโลกทิพย์เก้าท้องฟ้าสิบแผ่นดิน ตลอดจนมหาอำนาจต่างๆในจักรวาล

ถือเป็นโชคดี หากยกเว้นผู้มีส่วนเกี่ยวข้องโดยตรงแล้ว แต่ละฝ่ายก็ได้รับอนุญาตให้ส่งตัวแทนมาเข้าร่วมสังเกตการณ์ได้ไม่เกินสิบคน ทั้งยังต้องอยู่ภายใต้การกำกับดูแลของสี่ขุมกำลังชั้นยอดที่เป็นกลาง จึงไม่เกิดความสับสนวุ่นวายมากนัก

ตอนนี้ นอกจากมหาเทพอวี่หวงกับจักรพรรดินีหลินซินเยว่ที่ยังไม่ปรากฎตัวแล้ว กองกำลังทั้งหมดก็ถูกแบ่งออกเป็นสามกลุ่มอย่างชัดเจน

หนึ่งคือฝ่ายที่สนับสนุนมหาเทพอวี่หวงอันได้แก่ เทพเจ้าโอลิมปัสและสามสิบหกขุมกำลังระดับสูงแห่งแดนสวรรค์

ด้านฝ่ายที่สนับสนุนจักรพรรดินีหลินซินเยว่ ก็มีโลกทิพย์แห่งสัตว์อสูรกับโลกทิพย์แห่งแสง ส่วนสี่ขุมกำลังชั้นยอดและขุมกำลังอื่นๆที่เหลือ ต่างเลือกรอคอยเก็บเกี่ยวผลประโยชน์ภายหลังทั้งสิ้น

นี่เป็นเพราะช่วงเวลาที่ผ่านมา จักรพรรดินีหลินซินเยว่ได้เปล่งประกายมากเกินไป จนกระทั่งไม่มีผู้ใดกล้าฟันธงในชัยชนะของมหาเทพอวี่หวงเหมือนเดิมอีก

“ หืม กองทัพวังสวรรค์ห้าสิบล้าน กองทัพของโอลิมปัสอีกสิบล้าน นี่มันจะไม่เยอะไปหน่อยเหรอ แน่ใจนะว่าไม่ได้มีขุมกำลังอื่นสอดแทรกเข้ามาด้วย ” คังหลินพูดขึ้นด้วยสีหน้าเคร่งเครียด

ครั้งนี้สำนักดาราสวรรค์นำเหล่าศิษย์และผู้อาวุโสมาแค่ห้าล้านเท่านั้น ต่อให้รวมกำลังเสริมจากโลกทิพย์แห่งสัตว์อสูรและโลกทิพย์แห่งแสงอีกเก้าล้าน ก็มีจำนวนแตกต่างจากฝ่ายตรงข้ามหลายเท่าอยู่ดี

ศึกแย่งชิงตำแหน่งมหาเทพปกครองแดนสวรรค์ นอกจากจะเป็นการต่อสู้ตัดสินระหว่างสองจักรพรรดิเทพแล้ว ยังเป็นการแสดงแสนยานุภาพของกองกำลังที่สนับสนุนตนเองอยู่เบื้องหลังอีกด้วย

เพราะก่อนที่จักรพรรดิจะได้ต่อสู้กันนั้น กองทัพทั้งสองฝ่ายก็ต้องพิสูจน์ผลแพ้ชนะกันเสียก่อน เพื่อให้ทุกคนได้ประจักษ์ว่า พวกเขาคู่ควรที่จะกลายเป็นมหาอำนาจอันดับหนึ่งในจักรวาลจริงๆ ไม่ใช่อาศัยเพียงความแข็งแกร่งของผู้นำของตนเท่านั้น

“ น่าเสียดาย ที่สำนักของพวกเรามีเวลาเติบโตน้อยเกินไป ไม่อย่างนั้นด้วยทรัพยากรมากมายมหาศาลที่ได้รับมาในช่วงสองปีนี้ คงไม่ใช่เรื่องยากที่จะไล่ตามความแข็งแกร่งของฝ่ายตรงข้ามทัน ” พูดจบ หลิวจงเสียนก็ถอนหายใจออกมาเบาๆ

เดิมทีสำนักดาราสวรรค์ ก็ถูกจัดเป็นขุมกำลังที่อ่อนแอที่สุดในเจ็ดขุมกำลังชั้นยอดอยู่แล้ว ต่อให้มีจักรพรรดิเทพถือกำเนิดขึ้นมา แต่รากฐานของพวกเขาก็ห่างไกลจากฝ่ายตรงข้ามมากเกินไป

การที่สามารถบ่มเพาะ ผู้ฝึกตนขอบเขตแดนเทพเกือบสี่ล้านคนขึ้นมาได้ในระยะเวลาเพียงแค่สองปี ก็แทบเกินขีดจำกัดที่สำนักดาราสวรรค์จะแบกรับไหวแล้ว

ทันใดนั้น แววตาของคังหลินก็เปลี่ยนไปเล็กน้อย ก่อนจะหยิบแผ่นป้ายสื่อสารขึ้นมาตรวจสอบด้วยท่าทีจริงจัง

“ เมื่อครู่ท่านอาจารย์ได้ใช้ศาสตร์ทำนายออกมาแล้ว นอกจากแม่ทัพเอ้อหลางเสินกับขุนพลเทพนาจาแล้ว มหาเทพอวี่หวงยังแอบส่งสามพิสุทธิ์แห่งเต๋าเข้าร่วมศึกด้วย ”

“ ส่วนทางฝ่ายโอลิมปัส ก็มีราชาเทพซูสกับเทพสงครามแอรีสบัญชาการรบด้วยตนเอง นี่เท่ากับว่าพวกเราต้องเผชิญหน้า กับแปดผู้ยิ่งใหญ่แห่งแดนสวรรค์พร้อมกันเลยทีเดียว ”

สิ้นเสียง สีหน้าของทุกคนก็หมองคล้ำลงทันที เพราะในบรรดาพวกเขาไม่มีผู้ใดมีขีดความสามารถเพียงพอ จะต่อสู้กับผู้ยิ่งใหญ่ทั้งแปดที่ครอบครองอาวุธระดับพระเจ้าเลยสักคน

“ หยุดคิดเรื่องไร้ประโยชน์ แล้วรีบจัดวางเจ็ดสิบหกรูปแบบค่ายกลสังหารเถอะ เรามีเวลาเตรียมการแค่สามวันเท่านั้น ” ชายชราชุดเขียวพูดออกมาเบาๆ แต่เสียงกลับดังสะท้านเข้าไปในจิตวิญญาณของศิษย์สำนักดาราสวรรค์ทุกคนอย่างชัดเจน

นี่คือ บรรพชนรุ่นที่สิบของสำนักดาราสวรรค์ ที่ถูกปลุกให้ตื่นขึ้นมาจากการผนึกขั้นพลังตนเองอยู่ในโลงศพ

ถึงแม้ในอดีต เขาจะเคยมีความคิดส่งมอบตัวหลินซินเยว่ให้วังสวรรค์เพื่อรักษาทางรอดให้กับสำนัก แต่เมื่อได้เห็นการเจริญเติบโตอย่างก้าวกระโดดของสำนักดาราสวรรค์ในเวลาที่ผ่านมา เขาก็ยอมใช้ชีวิตที่เหลือเพื่อสนับสนุนหลินซินเยว่อย่างเต็มใจ

ด้วยความเชี่ยวชาญศาสตร์การรบและค่ายกลของบรรพชนรุ่นที่สิบ อีกทั้งยังมีขอบเขตพลังที่สูงถึงเทพโลกาขั้นเก้าระดับสูงสุด ทำให้ตัวเขาได้กลายเป็นเสาหลักสำคัญของสำนักดาราสวรรค์ แม้จะเหลืออายุขัยเพียงแค่หนึ่งปีก็ตาม

“ ไม่รู้ว่าตอนนี้ เสี่ยวมี่เฟิงจะออกมาจากรังไหมแล้วหรือยัง หากได้รับความช่วยเหลือจากกองทัพแมลงของนาง พวกเราคงมีหวังชนะเพิ่มขึ้นอีกหลายส่วน ” คังหลินพูดขึ้นด้วยความคาดหวัง

ตั้งแต่เสี่ยวมี่เฟิงกลืนกินซากศพของเทพโอดินเข้าไป เมื่อกลับมาถึงสำนักเธอก็เริ่มหลับจำศีลอยู่รังไหมสีดำทันที ไม่ว่าจะทำอย่างไรก็ไม่ได้สติฟื้นคืนกลับมา

“ เอาเถอะ ยังเหลือเวลาอีกสามวันไม่ใช่หรือ ข้าว่าบางทีนางอาจจะออกมาพร้อมกับท่านอาจารย์ในวันที่สามเลยก็ได้ ” หลิวจงเสียนพูดอย่างใจเย็น เขาก็เป็นอีกหนึ่งในไม่กี่คนที่รู้ความลับเรื่องเผ่าพันธุ์แมลงมารกลืนวิญญาณ

“ ข้าก็ได้แต่หวัง ให้มันเป็นเช่นนั้น… ” คังหลินตอบกลับไปเบาๆ ก่อนจะรีบหันไปช่วยเหล่าผู้อาวุโสในสำนักติดตั้งค่ายกลสังหารบนสนามรบอย่างตั้งใจ เพราะนี่อาจจะเป็นทางเดียวที่ช่วยชดเชยความแตกต่างของทั้งสองฝ่ายได้

ณ โลกมนุษย์ในเวลาเดียวกัน

รัฐบาลแต่ละประเทศได้เริ่มประกาศใช้กฎอัยการศึก ให้ประชาชนทุกคนกักตัวอยู่ในบ้านห้ามออกไปไหนเป็นเวลาเจ็ดวัน ส่วนผู้ที่ไม่มีที่อยู่อาศัยนั้น ก็จะถูกจัดให้เข้าพักตามโรงเรียนหรืออาคารสำนักงานต่างๆ โดยมีอาหารเครื่องดื่มบริการให้ฟรี

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: จุติใหม่มหาเทพตี้เทียน