ชายาข้ามภพ พิชิตใจท่านอ๋องไร้รัก นิยาย บท 39

ตอนที่ 39 ความคิด

หลังจากประชุมเช้าในวันถัดมา โม่ฉีสิงนั่งตรวจฎีกาอยู่ในห้องทรงอักษร ขันทีรับใช้คนสนิทที่อยู่ข้างๆก็คือหัวหน้าขันทีจ้าวเจิ้ง วันนี้เขาเห็นฮ่องเต้เหมือนจะใจไม่อยู่กับร่องกับรอย จ้าวเจิ้งก็แอบคิดว่า ฮ่องเต้จะต้องกำลังคิดเรื่องของเวินอ๋อง รัชทายาทแล้วก็พระชายาหมิงอ๋องแน่ๆ

จ้าวเจิ้งมารับใช้โม่ฉีสิงตั้งแต่อายุ 14 เขารู้จักนิสัยใจคอของโม่ฉีสิงดี ยิ่งเป็นสีหน้าท่าทางแล้วยิ่งเข้าใจดี ตอนนี้โม่ฉีสิงนั่งอยู่ในห้องทรงอักษรมาราวหนึ่งชั่วยามแล้ว ปกติในเวลานี้ ต่อให้ตรวจฎีกาไม่หมดก็จะเลิกแล้ว แต่วันนี้ฮ่องเต้ไม่เพียงตรวจฎีกาไปไม่กี่ฉบับ แม้แต่น้ำชาก็กินไปไม่กี่คำ

จ้าวเจิ้งส่ายหัว ชาเย็นไปสี่ถ้วยแล้ว เขาเปลี่ยนมาใหม่ครั้งที่ห้าแล้ว

“ฝ่าบาท ท่านดื่มชาสักคำแล้วค่อยตรวจฎีกาต่อดีไหมพ่ะย่ะค่ะ?” จ้าวเจิ้งเตือนด้วยความระมัดระวัง

โม่ฉีสิงได้ยินจ้าวเจิ้งพูด ก็ได้สติกลับมา เขามองไปที่พู่กันในมือของเขา แล้วมองไปที่ฎีกาที่กำลังตรวจอยู่ ฎีกาฉบับนี้เป็นฎีกาที่เขาดูเหมือนครึ่งชั่วยามที่แล้ว

เขาหยิบชาที่จ้าวเจิ้งยื่นมาให้ จิบไปหนึ่งคำแล้วพูดว่า “จ้าวเจิ้ง ข้าแก่มากแล้วใช่ไหม?”

จ้าวเจิ้งเห็นฮ่องเต้ภายในไม่กี่วันก็ดูแก่ลงไปมาก “ฝ่าบาททรงไม่ได้แก่ลงไปเลย เพียงแต่เรื่องที่ทรงกังวลมีมากเกินไป ฝ่าบาททรงกังวลมากก็ต้องเหนือเป็นธรรมดา”

โม่ฉีสิงเห็นว่าเขารับใช้ตนมาตั้งแต่ตัวเองยังเป็นแค่ชินอ๋องอยู่ เขารู้สึกอุ่นใจมาก “เจ้ายังเจ้าได้ไหมว่าฉือซู่หน้าตายังไง?”

“ฝ่าบาท ......” จ้าวเจิ้งชะงักไป

โม่ฉีสิงยิ้ม “ไม่ต้องห้ามข้าหรอก ตอนนั้นข้าไม่อาจปกป้องนางไว้ได้ ข้ารู้สึกเจ็บปวดใจแล้วก็รู้สึกผิดต่อนางจริงๆ”

จ้าวเจิ้งรู้ว่าฮ่องเต้เสียใจแค่ไหน เขายืนอยู่ข้างๆ ไม่ได้พูดอะไร

ตอนนี้ขันทีข้างนอกก็วิ่งเข้ามา จ้าวเจิ้งกลัวว่าจะรบกวนโม่ฉีสิง ก็เลยตำหนิเขาไป “เจ้าพวกไม่เอาไหน แตกตื่นอะไรกัน?”

ขันทีน้อยพูดว่า “กงกง ใต้เท้าถิงเว่ยขอเข้าเฝ้า”

จ้าวเจิ้งตำหนิขันทีนั้นไปอีก หลังจากนั้นก็ให้ขันทีน้อยนั่นออกไป จ้าวเจิ้งบอกกับโม่ฉีสิงว่า “ฝ่าบาท ใต้เท้าถิงเว่ยจางหยีรอเข้าเฝ้าอยู่ข้างนอก”

โม่ฉีสิงได้สติกลับมาจากการคิดถึงอวี๋ฉือซู่ เขาวางถ้วยชาลง จากนั้นก็คืนสภาพกลับมาจริงจังอีกครั้ง “ให้เขาเข้ามา”

จางหยีถวายบังคมเสร็จแล้ว โม่ฉีสิงก็มองไปที่เขาแล้วถามว่า “ถิงเว่ยเจ้ามาในเวลานี้เพราะเรื่องของเวินอ๋องใช่ไหม?”

“ฝ่าบาททรงพระปรีชา” จางหยีหยิบฎีกาออกมาจากชายเสื้อ แล้วยื่นออกไปสองมือ “นี่เป็นคำให้การของสวินเทียนพ่ะย่ะค่ะ ทรงทอดพระเนตรด้วย”

จ้าวเจิ้งเดินไปรับฎีกามาแล้วยื่นให้กับโม่ฉีสิง โม่ฉีสิงอ่านแล้วก็ขมวดคิ้ว เขาไม่พูดอะไรอยู่นาน

จางหยีเห็นใบหน้าของโม่ฉีสิงไม่ค่อยดี แอบคิดในใจว่า แย่แน่ๆ ชีวิตเขานี่ลำบากจริงๆ รับตำแหน่งไม่นานก็ต้องมารับคดียากขนาดนี้ อาจารย์ ท่านจะลาออกตอนไหนก็ได้ แต่ดันมาลาออกช่วงนี้พอดี

จางหยียิ้มแห้ง ขุนนางตงฉินยังยากที่จะตัดสินเรื่องในบ้าน แล้วนี่มันเรื่องในบ้านของเชื้อพระวงศ์

โม่ฉีสิงไม่พูดไม่จา เหลือเพียงไม่กี่คนไม่มีใครกล้าพูดอะไร บรรยากาศเงียบจนน่าตกใจ จางหยีรู้สึกว่าหากเขายังยืนอยู่อย่างนี้ จะต้องถูกฮ่องเต้ทำให้ตกใจตายแน่

คิดไม่ถึงเลยว่าการเป็นฮ่องเต้ก็ไม่ได้เป็นกันง่ายๆ ถึงแม้ในมือจะมีอำนาจสั่งการมากมาย แต่ว่าพอเจอเรื่องที่เกี่ยวข้องกับลูกชายตัวเองก็ปวดหัวเหมือนกัน

หากเป็นบ้านคนธรรมดาทั่วไป พี่น้องทะเลาะกันแย่งทรัพย์สมบัติ อย่างมากก็แค่ไม่ติดต่อยุ่งเกี่ยวต่อกัน แต่ว่าในระหว่างเชื้อพระวงศ์นั้น การแย่งชิงมันคือชีวิต

โม่ฉีสิงไม่รู้ความคิดของจางหยี ตอนนี้เขากำลังคิดว่าจะจัดการกับลูกชายคนที่หกเวินอ๋องของเขายังไงถึงจะดี

โชคยังดีที่รัชทายาทรอดมาได้ หากรัชทายาทตายไปจริงๆ เขาจะเอาชีวิตลูกชายของเขามาชดใช้ให้ได้จริงๆหรอ? เขาคิดยังไงก็ไม่เข้าใจ ทำไมลูกชายของเขาต้องห้ำหั่นกันด้วย

“เอาคำให้การพวกนี้เก็บเข้าทะเบียนเถอะ คนร้ายตัวจริงก็ตายไปแล้ว ข้อสงสัยของเวินอ๋องก็กระจ่างแล้ว” โม่ฉีสิงพูดแบบนี้ก็จริง แต่ในใจไม่ได้สบายใจเลย แถมยังรู้สึกว่ามันหนักอึ้งอีกด้วย เขากำลังคิดว่าทำแบบนี้มันจะถูกหรือผิด ไม่ว่าจะในฐานะพ่อหรือกษัตริย์ เขาก็ไม่มีทางเลือกเลย

จางหยีรับฎีกาคำให้การจากจ้าวเจิ้งกลับมา เขาถามกลับไปด้วยความนอบน้อมว่า “ความหมายของฝ่าบาทคือเวินอ๋องไร้โทษให้ปล่อยตัวใช่ไหมพ่ะย่ะค่ะ?”

โม่ฉีสิงค่อยๆลุกขึ้นมา เห็นเขาเดินมายังหน้าโต๊ะที่วางกระถางต้นไม้ เขาหยิบกรรไกรขึ้นมาตัดกิ่ง

“ขังเขาเอาไว้ก่อนสักระยะ สวินเทียนเป็นคนของเขาไม่ใช่หรอ? อบรมลูกน้องไม่ดีก็ถือเป็นความผิด ขุนพลหลี่ที่ชายแดนขอลาออกกลับบ้านแล้วใช่ไหม เดินหน้าวันที่เจ็ดก็ให้เขาไปเฝ้าชายแดนให้ข้าก็แล้วกัน”

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ชายาข้ามภพ พิชิตใจท่านอ๋องไร้รัก