ตอนที่ 117 เหมือนครอบครัว
“ศิษย์ใหม่?” ชายทั้งสองคนตะโกนพูดเสียงพร้อมเพรียงกัน
ชายที่ขี้อายคนก่อนหน้านั้นก็พูดโพล่งขึ้นมากับท่าเยว่ “ อาจารย์ นี้มันเวลาไหนแล้ว ท่านยังลำเอียงอยู่หรือ? เมื่อกี้ยังจะให้นางมารับผิดชอบข้า พอมาตอนนี้กลับบอกว่าข้าไม่คู่ควรกับนาง ท่านกล้าลำเอียงอีกหรือ?”
“มีอะไรที่ไม่กล้า? ไอ้เด็กเมื่อวานซืนอย่างพวกเจ้าสองฟังข้าให้ดี ต่อไปใครกล้ารังแกศิษย์น้อง ได้เห็นดีกับข้าแน่!” ท่านเยว่ยืนเท้าเอว พอหลังจากเตือนทั้งสองคนนั้นไปรอบหนึ่งแล้วก็หันหน้ามาแนะนำให้หลินซีนเยียน “ศิษย์ตัวเล็กของอาจารย์ มาพบศิษย์พี่ใหญ่เซียวฝานกับศิษย์พี่รองอู๋อี้ ต่อไปหากเจ้ามีเรื่องไม่สบายใจ ก็ไปลงที่พวกเขาได้ตลอดเวลา อาจารย์จะเป็นคนช่วยเจ้าเอง!
คำพูดของท่านเยว่ ทำให้เซียวฝานและอู๋อี้ร้องเสียงโหขึ้นมาทันที
หลินซีนเยียนยิ้มแล้วพยักหน้า คิดว่าเข้าใจท่านเยว่แล้ว แต่ดูเหมือนว่าเขาจะไม่ค่อยใช้เหตุผลซะเท่าไร เขาเพียงอยากจะปกป้องใครก็จะปกป้องคนนั้น “ขอบคุณท่านอาจารย์ เช่นนั้นตอนนี้กินได้แล้วหรือยัง ข้ารู้สึกหิวแล้ว”
“นี่ยังจะให้พูดอีกหรือ” ท่านเยว่หันหน้าไปเรียกเซียวฝาน “เจ้าเป็นถึงศิษย์พี่ ย่างกวางป่าเสร็จแล้วทำไมไม่เอาขาให้ศิษย์น้องของเจ้าล่ะ? เจ้าไม่ได้ยินศิษย์ของเจ้าบอกว่าหิวหรือ? ไม่ได้อย่างจริงๆ”
“อาจารย์….” เซียวฝานมองท่านเยว่อย่างรู้สึกน้อยใจ ท่านเยว่ก็ถลึงตาแล้วชี้ไปยังเนื้อกวางป่า
เซียวฝานส่ายหน้าอย่างจำใจ หยิบกริชที่อยู่ข้างๆอู๋อี้ออกมา แล้วเฉือนเนื้อกวางไปพลางบ่นงึมงำไปพลาง “ศิษย์น้อง ดูเหมือนว่าต่อไปพวกเราสองคนคงถูกส่งเข้าตำหนักเย็นแล้ว”
“อือ ชีวิตช่างแสนเศร้า แสนเศร้าเหลือเกิน” อู่อี้ก็ส่ายหน้าไปมา แต่เหมือนว่าหลินซีนเยียนจะเข้าใจผิด ตอนที่พวกเขาพูดอยู่ แม้ปากจะบ่น แต่ดวงตาบ่งบอกถึงความตื่นเต้นอย่างเห็นได้ชัด ไม่มีความผิดหวังเลยแม้แต่น้อย
ในตอนนั้นเธอยังไม่รู้ว่าความหมายของการเป็นที่รักของท่านเยว่เท่าไร
แต่สำหรับความรู้สึกเป็นกันเองระหว่างอาจารย์กับลูกศิษย์แบบนี้ เธอกลับชื่นชอบอย่างมาก ในที่นี่พวกเขาไม่ใช่ครอบครัวเดียวกัน แต่มันเป็นมากกว่าครอบครัวเดียวกัน เธอรู้สึกว่าตนเองได้ตัดสินใจถูกต้องแล้ว ผู้อาวุโสสี่ท่านเยว่เป็นอาจารย์ที่เหมาะสมกับเธออย่างแท้จริง
พวกเขานั่งล้อมวงกันกินเนื้อกวาง ท่านเยว่ไม่ใช่คนถือตัวอะไร เซียวฝานกับอู๋อี้ก็เป็นคนสบายๆ ปฏิบัติกับหลินซีนเยียนไม่ใช่แค่เป็นผู้หญิงคนหนึ่ง ดังนั้นพวกเขาจึงพูดคุยกันอย่างถูกปากถูคอ
เมื่อสนุกสนานกันอย่างเต็มที่ เซียวฝานก็ยุยงให้ท่านเยว่นำสุราหอมที่ตนเองเก็บซ่อนเอาไว้เป็นอย่างดีออกมาดื่ม พวกเขากินเนื้อไปดื่มสุราไป เมื่อถึงยามดึกก็แยกย้ายกัน
ถึงหลินซีนเยียนจะไม่ได้ดื่มสุรามาก แต่ก็รู้สึกซาบซึ้งถึงความเรียบง่ายที่เป็นกันเองของพวกเขา ดังนั้นตอนที่ท่านเยว่ชี้ไปที่ห้องของเธอ เธอก็ล้มนอนลงบนเตียงอยู่นานยากที่จะเข้าสู่ห้วงนิทรา
เมื่อมีลมหนาวพัดมากระทบกับบานหน้าต่างที่ยังปิดไม่สนิทอย่างเสียงดัง
พอหลินซีนเยียนตะแคงหน้ามองไป จู่ๆก็เห็นคนผู้หนึ่งยืนอยู่ด้านหน้าของหน้าต่าง
“ดื่มเหล้ามาหรือ?” โม่จื่อเฟิงเอ่ยด้วยน้ำเสียงที่ไม่พอใจเท่าไร
หลินซีนเยียนลุกขึ้นมานั่งแล้วสวมเสื้อคลุมอย่างเร่งรีบ จากนั้นก็นำกระบองเชื้อไฟมาจุดเทียน “เจ้ามาได้อย่างไร ดึกขนาดนี้”
โม่จื่อเฟิงเดินมานั่งข้างๆเตียง แล้วยื่นมือไปดึงเธอเข้ามาในอ้อมอก เธอจึงไปนั่งอยู่บนตักของเขา ทั้งสองก็อยู่ในท่าทางที่ใกล้ชิดกันมากที่สุดในทันที “ยังไม่ตอบคำถามของเปิ่นหวางเลย”
“ดื่มไปนิดหน่อยเพื่อให้อาจารย์ดีใจ”
หลินซีนเยียนหดตัวอยู่ในอ้อมกอดของเขาอย่างว่าง่าย จมูกได้กลิ่นหอมจางๆบนตัวของเขา
“อาจารย์…ดูเหมือนว่าท่านเยว่คนนี้จะถูกอกถูกใจเจ้าอย่างมาก” โม่จื่อเฟิงกอดเธอ มือทั้งสองข้างกลับไม่อยู่สุข ค่อยๆเรื่อยไปจับที่เอวของเธอ
หลินซีนเยียนตัวแข็งไปชั่วขณะ จากนั้นก็ผ่อนคลายลงโดยฉับพลัน “จะว่าไปแล้วท่านเยว่กับศิษย์พี่ทั้งสองเป็นคนเรียบง่ายอย่างมาก” ใช่ เรียบง่ายมาก เหมือนกันพวกเพื่อนร่วมงานของเธอที่ร่วมแรงร่วมใจในการประดิษฐ์อาวุธด้วยกัน ดังนั้นจึงไม่มีเวลามาแกร่งแย่งชิงดีชิงเด่นกัน
หลินซีนเยียนชื่นชอบบรรยากาศการทำงานแบบนี้มากที่สุด เธอไม่คิดเลยว่าการอยู่ในภพนี้จะมีโอกาสแบบนี้ด้วย
“ศิษย์พี่ เรียกได้สนิทเหลือเกิน ” โม่จื่อเฟิงแค่นเสียงแล้วใช้ออกแรงที่มือขึ้นอีก ทำให้หลินซีนเยียนรู้สึกเจ็บจนคิ้วขมวดทันที
“ ไม่ให้เรียกศิษย์พี่แล้วจะให้เรียกอะไรหรือ? ท่านอ๋อง...หึงแล้วหรือ?” ไหนบอกจะให้อิสระเธอครึ่งปีไง? น้องสาวเจ้าสิ นี่มันหลอกลวงกันชัดๆ
โม่จื่อเฟิงยิ้มอย่างเย็นชา แรงที่มือกลับผ่อนเบาลง จากนั้นสอดเข้าไปในเสื้อของเธอ “ เปิ่นหวางรู้สึกว่ายิ่งนานวันยิ่งชื่นชอบเรือนร่างของเจ้าจริงๆ”
“เหอๆ...” หลินซีนเยียนหัวเราะของเก้อเขิน ชอบร่างกายของเธอ พูดได้น่าฟังจริงๆ “ท่านอ๋อง ท่านบอกจะให้อิสระข้าครึ่งปีไม่ใช่หรือ?”
“เจ้าขอจากไปเป็นเวลาครึ่งปี แต่ไม่ใช่ออกจากเมืองเฟิ่งซีไม่ใช่หรือ? และก็ไม่ได้ห้ามไม่ให้เปิ่นหวางตามมา แต่เปิ่นหวางก็ไม่ได้มาเพื่อเจ้า แต่ในเมื่อเป้าหมายของเราคือสิ่งเดียวกัน คิดซะว่าเป็นเรื่องบังเอิญก็แล้วกัน ” ตอนที่โม่จื่อเฟิงพูดอยู่ เสื้อผ้าของหลินซีนเยียนก็ถอดออกหมดแล้ว
เมื่อลมหนาวพัดมาทำให้หลินซีนเยียนตัวสั่นไม่หยุด เธอกัดปากเบาๆ ร่างกายคล้ายกับโดนไฟไหม้ เมื่อไรกันที่เธอเริ่มเรียนรู้ที่จะตอบสนองต่อความต้องการของเขา?
“ท่านอ๋อง....” เธอเรียกอย่างเบาๆ จากนั้นโม่จื่อเฟิงก็นอนทับมาบนร่างของเธอ
เมื่อความรู้สึกเข้าสู่จุดลึกที่สุด เธอทนไม่ได้ที่จะยิ้มเย้ย เขาชอบร่างกายของเธอก็แค่เพียงร่างกายเท่านั้น สำหรับเขาแล้วเป็นเพียงของพระราชทานที่ยิ่งใหญ่ แต่สำหรับเธอกลับเป็นการทรมานที่โหดร้ายที่สุด
เมื่อท้องฟ้าสว่าง โม่จื่อเฟิงก็ลุกขึ้นแล้วจากไป ก่อนจะจากไปก็ได้ชำเลืองมองหลินซีนเยียนอย่างเย็นชา
ตอนที่เงาของเขาหายไปจากหน้าประตู หลินซีนเยียนก็ลืมตาขึ้นมา สายตาจ้องไปยังประตูห้องที่ปิดสนิท เธอยิ้มขึ้นมาแล้ว รอยยิ้มที่แสดงถึงความดีใจแต่ในดวงตากลับมีน้ำตาซ่อนไว้อยู่
สำหรับเขาแล้ว ที่แท้เธอก็เป็นเพียงเครื่องมือที่ใช้อุ่นเตียงเท่านั้น
หลังจากที่หลินซีนเยียนอาบน้ำเสร็จแล้วก็ไปในลานบ้าน เริ่มมีต้นกล้าสีเขียวอ่อนๆขึ้นในลานบ้าน เป็นสัญญาณบอกให้คนรู้ว่าฤดูใบไม้ผลิใกล้จะมาถึงแล้ว แม้จะยังรู้สึกหนาวอยู่แต่มันไม่มีความหนาวของฤดูหนาวแล้ว
เธอทำท่ายึดเส้นยึดสายอยู่ในลานบ้านอย่างง่ายๆ จากนั้นก็ได้เสียงท่านเยว่ที่สวมผ้ากันเปื้อนเดินถือหม้อข้าวต้มออกมาจากห้องครัว พอเห็นรอยยิ้มเป็นกันเองบนใบหน้าเธอ “ นังหนู ตื่นเช้าขนาดนี้เลยหรือ?”
“อาจารย์ตื่นเช้ากว่าข้าอีก อาจารย์ท่านทำข้าวต้มเองหรือ?” หลินซีนเยียนชี้ไปยังข้าวต้มของเขาด้วยสายตาประหลาดใจ
“ ข้าไม่ทำข้าวต้มให้พวกเจ้าก็คงจะหิวตายกันแน่” ท่านเยว่กลอกตาบน ถอนหายใจออกมา “ เอ๊ะ ศิษย์พี่รองของเจ้าทำอาหารเป็น แต่ศิษย์พี่ใหญ่ของเจ้าย่างเนื้อได้หอมอย่าบอกใครเชียว แต่เขาไม่ค่อยทำเท่าไร หากมีเหตุสุดวิสัยอะไรก็มีแต่อาจารย์ที่มาทำ”
“ ไม่ใช่ ข้าหมายถึงว่าที่นี่ไม่มีศิษย์ฝ่ายนอกคนอื่นหรือ? ตอนที่ข้ามาได้ยินเฝิงซื่อไห่บอกว่าศิษย์ภายนอกจะรับผิดชอบเรื่องที่ยุ่งยาก ” หลินซีนเยียนพูดแล้วเดินไปช่วยถือโจ๊กแต่ท่านเยว่กลับส่ายหน้า
“ช่างเถอะ ศิษย์ฝ่านนอกพวกนั้นล้วนโง่เหมือนหมู แล้วยังมาบอกว่าข้ามีนิสัยแปลกๆ ในเมื่อความคิดไม่เหมือนกันก็ไม่สามารถเข้าทางกันได้ ข้าเลยไล่พวกเขาไปไม่ให้อยู่ขวางหูขวางตาข้า จริงด้วย ข้าจะเอาข้าวต้มไปตั้งบนโต๊ะ เจ้ารีบไปปลุกศิษย์พี่ทั้งสองแล้วกัน ”
ที่แท้เรื่องก็เป็นเช่นนี้ หลินซีนเยียนพยักหน้าแล้วขานตอบ “ได้”
ห้องของเซียวฝานกับอู๋อี้อยู่ในมุมของลานบ้าน เมื่อหลินซีนเยียนไปถึงแล้วเคาะประตูเรียกกลับไม่มีเสียงตอบกลับมาเลยสักห้อง
“ไอ๊หยา นังหนู เคาะประตูแบบนั้นมันใช้ได้ทีไ่หนกัน? ” เมื่อท่านเยว่วางหม้อข้าวต้มเสร็จแล้วก็เดินมา จากนั้นหยิบของเล่นชิ้นเล็กๆขนาดเท่าฝ่ามือออกมาจากในเสื้อ
เมื่อหลินซีนเยียนมองดูดีๆแล้ว ที่แท้ของเล่นชิ้นเล่นๆนั้นเป็นกระบอกไม้ไผ่ ตอนที่เธอกำลังสงสัยก็ได้ยินท่านเยว่เอ่ยขึ้นว่า “ เจ้าเพียงโยนของสิ่งนี้เข้าไปก็ได้แล้ว รับรองเลยว่าเขาจะสะบัดก้นวิ่งออกมาทันที ”
“ มหัศจรรย์ขนาดนั้นเชียว?” หลินซีนเยียนหัวเราะ จากนั้นก็โยนของสิ่งนั้นเข้าไปในห้องของเซียวฝานตามที่ท่านเยว่บอกอย่างไม่ลังเลเลย
ผ่านไปไม่กี่วินาทีก็ได้ยินเสียง ‘ตูม!’ ดังมาจากในห้องอย่างดัง ตามมาด้วยเสียงตะโกนแหกปากร้องของเซียวฝานและอู๋อี้ที่คลุมผ้าห่มแล้ววิ่งเปิดประตูออกมา “ ไอ้แก่!บอกว่าอย่าใช้หญ้าควันพิษมาทรมานพวกข้าแล้วไม่ใช่หรือ? ”
กลิ่นเหม็นคละคลุ้งทั่วไปห้องก็ลอยตามเขาออกมาด้วย
หลินซีนเยียนรีบถอยหลังแล้วปิดจมูก ที่แท้ของเล่นชิ้นเล็กนั้นข้างในได้ใส่แก๊สพิษอยู่ แต่พอคิดไปคิดมานั่นก็ไม่ใช่แก๊สพิษจริงๆ เป็นเพียงกลิ่นเหม็นเน่าเท่านั้น
“หากไม่ใช่หญ้าควันพิษแล้วจะทำให้พวกเจ้าสร่างเมาได้อย่างไร? พอแล้ว ไม่ต้องพูดให้มากความ รีบไปกินข้าว อย่าลืมว่าวันนี้เป็นวันที่ไอ้แก่หยิ่นจะสอนค่ายกลให้กับพวกเจ้า แม้ไอ้แก่หยิ่นนั้นจะเจ้าเล่ห์เพทุบาย แต่เรื่องค่ายกลเก่งกาจอย่าบอกใครเชียว พวกเจ้าก็รีบไปเรียนซะ!”
ท่านเยว่ตักข้าวไปพลางเรียกหลินซีนเยียนมานั่งกินข้าวไปพลาง เซียวฝานกับอู๋อี้ก็ดึงผ้าห่มขึ้นไปคลุมหัวแล้วเดินมานั่ง
“อาจารย์ ท่านดูศิษย์น้องเพิ่งจะมาวันแรก ท่านก็ให้พวกข้าเสียภาพลักษณ์ต่อหน้าศิษย์น้อง ต่อไปพวกเราศิษย์พี่จะให้เอาหน้าไปไว้ที่ไหนกัน?” ตอนที่เซียวฝานพูดก็ยื่นมือออกมาจากผ้าห่มแล้วถ้วยข้าวต้มมาวางหน้าของตนเอง
ที่แท้อู๋อี้ที่เป็นคนขี้อาย เมื่อเห็นหลินซีนเยียนนั่งอยู่ข้างๆ ใบหน้าก็แดงระเรื่อขึ้นอย่างดูไม่ได้ ก็เลยยื่นมือไปรับถ้วยน้ำต้มอย่างเคอะเขิน
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ชายาสุดที่รักของท่านอ๋องอำมหิต
นางเอกเป็นพวกชอบความเจ็บปวด อ่านแล้วเหนื่อย เหมือนเราเห็นชีวิตคู่ผัวซ้อมเมีย แล้วอยากจะช่วยให้เค้าออกมา ผู้หญิงบอกไม่ต้อง เค้าถูกจริตแบบนี้ สงสารน้องชาย ช่วยมาก็จริง ทุกคืนต้องมานอนฟังอีผัวเมียคู่นี้มันทำร้ายกัน ป่วยจิตสุดๆ...
ทำไมนางเอกไม่คิดประกิษฐ์อาวุธไว้ป้องกันตัวเลยสักที เจอเหตุร้ายตลอดแต่ไม่เคยคิดปกป้องตัวเอง แล้วบอกว่าเป็นนักสร้างอาวุธนี่นะ...