ชายาสุดที่รักของท่านอ๋องอำมหิต นิยาย บท 125

ตอนที่ 125 บรรยากาศอันแปลกประหลาด

และก็ไม่รู้ว่าเป็นเพราะด้วยความหวาดกลัวหรือเปล่า ร่างกายจึงได้ตอบสนองตามการสัมผัสของโม่จื่อเฟิง เดิมทีหลินซินเยียนก็ไม่ได้หลับจนง่วงหงาวหาวนอน จนกระทั่งถึงยามที่เขาปลดปล่อย นางจึงได้หมดสติหลับลงไป

ในคืนนั้นนางนอนหลับโดยสงบอย่างน่าประหลาด เหมือนกับในความฝันมีความรู้สึกผูกพันใกล้ชิดบางอย่าง นางคิดว่าเป็นเพราะนางเหนื่อยมากเกินไป ดังนั้นแม้กระทั่งอารมณ์หงุดหงิดก็ลืมไปเสียหมด แต่ยามที่นางลืมตาตื่นมาในเช้าตรู่ จึงได้รู้ว่า ไม่ใช่เป็นเพราะความเหนื่อยล้า แต่เป็นเพราะว่าเขาประคองนางที่กำลังนอนอยู่มาตลอดทั้งคืน

“ตื่นแล้วหรือ?” รู้สึกถึงการขยับตัวของคนในอ้อมแขน โม่จื่อเฟิงเงยหน้าขึ้นมากระชับฝ่ามือของนาง

หลินซินเยียนเองก็ตกใจ “ท่านยังอยู่ที่นี่หรือ?” ที่ผ่านมา ถ้าเขาเสร็จกิจแล้วก็จะจากไป ไม่เคยนอนค้างอยู่ที่ห้องของนางข้ามคืน วันนี้นี่มันอะไรกัน ฟ้าสว่างแล้วก็ยังคงไม่จากไปอีกหรือนี่?

“ไม่อยากจะให้เปิ่นหวางอยู่รึ?” โม่จื่อเฟิงขมวดคิ้ว ฝ่ามือใหญ่ของเขาปลอบโยนแผ่นหลังเบาๆ

หลินซินเยียนรีบส่ายหน้า “จะเป็นไปได้อย่างไรเพคะ เพียงแค่ฟ้าสว่างแล้ว หากถูกผู้คนพบเห็นเข้าจะไม่งามเพคะ”

“มีอะไรที่ไม่ดีไม่งาม ชายที่ยังไม่แต่งงานกับหญิงที่ยังไม่ครองคู่ และเจ้าก็ยังเป็นสตรีของเปิ่นหวาง” ในขณะที่โม่จื่อเฟิงกล่าว เขาก็นำศีรษะของนางซบเข้ากับหน้าอกกว้างของตน “ยังเช้าอยู่เลย นอนต่ออีกสักครู่เถิด”

หลินซินเยียนมองโม่จื่อเฟิงอย่างอึ้งๆ หลังจากนั้นจึงหลับตา เผื่อว่าจะคนตรงหน้าเป็นภาพลวงตาในฝัน หากไม่ใช่เพราะฝ่ามือที่หนาใหญ่อันซุกซนที่รู้สึกสมจริงมากเกินไป นางก็คิดว่าตอนนี้คงกำลังฝันอยู่แน่ๆ

ดูเหมือนจะรู้สึกได้ถึงสายตาของนาง โม่จื่อเฟิงจึงลืมตาขึ้นมาอีกครั้งอย่างไม่สบอารมณ์ "เจ้ายังลืมตาอยู่ทำไม แล้วยังใช้สายตาเช่นนี้มองเปิ่นหวางอีก เปิ่นหวางจะเข้าใจว่าเป็นเพราะความปรารถนาเจ้าไม่เติมเต็มและยังขุ่นเคือง ถ้าเช่นนั้น เปิ่นหวางไม่ถือสาที่จะให้เจ้าได้ลองอีกสักรอบ"

“โอ้...เพคะ” หลินซินเยียนรีบหลับตานอนต่อทันที

เพียงแต่ภายใต้สถานการณ์เช่นนี้หลินซินเยียนคิดว่านางคงไม่สามารถหลับลงได้จริงๆ ทว่าปลายจมูกของนางก็สูดดมกลิ่นหอมจางๆบนกายของเขาโดยไม่รู้ตัว ราวกับว่าความกระวนกระวายในใจหลายวันมานี้ได้สงบลง และนางก็หลับผล็อยไปโดยไม่รู้ตัว

ในยามที่ตื่นขึ้นมาอีกครั้ง โม่จื่อเฟิงก็จากไปแล้ว หลังจากที่นางล้างหน้าแต่งตัวและออกมาจากเรือน ก็พบว่าเป็นยามเที่ยงวันพอดี

นางรู้สึกแปลกใจ หากเป็นอย่างวันที่ผ่านมา ในยามเช้าเมื่อท่านเยว่ทำอาหารเช้าเสร็จก็จะมาปลุกนาง แต่วันนี้กลับเงียบสงบไม่มีความเคลื่อนไหวใดๆ นางวนหาภายในเรือนอยู่หนึ่งรอบก็ไม่พบแม้แต่เงาของคนทั้งสาม ทั้งท่านเยว่ เซียวฝานและอู๋อี้

นางครุ่นคิดอยู่สักพักก็เดินไปหาต่อที่โรงทำงาน เมื่อเดินมาถึงก็เห็นเซียวฝานกับอู๋อี้มีปากเสียงกัน ยังไม่รู้ว่าคนทั้งสองนั้นทะเลาะกันด้วยเรื่องอะไร แต่เมื่อเห็นหลินซินเยียนเข้ามาก็หยุดในทันที เพียงแต่สายตาที่มองนางไม่เป็นธรรมชาติเท่าไหร่นัก

“ศิษย์พี่ เกิดเรื่องอะไรขึ้นหรือ?” หลินซินเยียนไม่ชอบความรู้สึกแบบนี้ มักจะรู้สึกว่าบางเรื่องที่นางไม่ได้ตั้งใจได้เกิดขึ้น

เซียวฝานและอู๋อี้สบตากัน กลับเป็นเซียวฝานที่โบกไม้โบกมือกล่าวปฏิเสธ “ไม่มีอะไร ก็แค่ความเห็นเกี่ยวกับแบบภาพร่างไม่ตรงกันนิดหน่อย”

“อ้อ” หลินซินเยียนส่งเสียงตอบรับ ไม่ดึงดันถามถึงเรื่องนี้ต่อ “แล้วท่านอาจารย์ล่ะ?”

“เซียวฝานเงียบอยู่ชั่วครู่จึงหัวเราะกล่าวตอบว่า “ตอนเช้าตื่นมาก็ได้ยินว่าไปตกปลาเป็นเพื่อนท่านประมุข ตอนนี้คงน่าจะกำลังตกปลากันอยู่ล่ะนะ”

“งั้นข้าช่วยพวกท่านสร้างอาวุธดีกว่า” นึกถึงความร่วมมือซึ่งกันและกันของคนทั้งสามในเมื่อคืน หลินซินเยียนก็หวนนึกถึงเวลาช่วงนั้นมาก ขณะที่ถือแบบภาพร่างเพื่อนเตรียมจะเริ่มทำงาน ใครจะรู้ว่าเซียวฝานกลับแย่งแบบภาพร่างจากมือของนางไป

ใบหน้าของเขาไม่พอใจอยู่ชั่วแวบหนึ่ง แต่ก็ฉีกรอยยิ้มกลับมาได้อย่างรวดเร็ว “ไม่ต้องหรอกศิษย์น้องหญิง แค่ข้ากับศิษย์น้องสองคนก็พอแล้ว เจ้าไปพักผ่อนเถิดหรือไม่ก็ไปศึกษาค่ายกลกระบี่ก็ได้”

นี่คือการปฏิเสธนางอย่างนุ่มนวล

“อืม อย่างนั้นก็ได้” หลินซินเยียนย่อกายคำนับคนทั้งสองแลัวหันกายกลับ แต่เวลาแค่ชั่วข้ามคืน ท่าทีของเซียวฝานและอู๋อี้ที่มีต่อนางกลับเปลี่ยนไปโดยสิ้นเชิง เมื่อคืนเกิดเรื่องอะไรขึ้นกันแน่?

ภายในใจของนางนั้นกระวนกระวายมากขึ้นเรื่อยๆ จนกระทั่งกลับถึงหน้าเรือนแล้วใจก็ยังไม่สงบลง พลันนึกขึ้นได้ ไม่แน่ว่าที่เมืองอาจจะพอได้ยินข่าวสารที่เป็นประโยชน์บ้างก็เป็นได้

เนื่องจากภายในศาลาความลับแห่งสวรรค์เกิดเรื่องใหญ่ขึ้น ดังนั้นภายในเมืองจึงเงียบเหงามากขึ้นกว่าแต่ก่อน แม้แต่เสียงพูดคุยเป็นครั้งคราวในขณะดื่มชาอย่างเมื่อก่อนก็ไม่มีให้ได้ยิน

ยามที่หลินซินเยียนเดินเข้ามาในเมือง ผู้คนในร้านรวงดูเหมือนว่าจะทอดสายตามาด้วยความสงสัยในทันที ถนนทางหนทางในเมืองวันนี้แทบจะร้างผู้คน เพื่อหลีกเลี่ยงที่จะถูกต้องสงสัยอีกทั้งผู้คนในสำนักล้วนไม่ต้องการที่จะสร้างความวุ่นวาย จึงอยู่แต่ภายในร้าน ดังนั้นตราบใดที่ถนนในเมืองปรากฏกายออกมาสักคนก็จะดึงดูดความสนใจของผู้คนไปจนหมด

หลินซินเยียนเดินตั้งแต่จากหัวถนนไปยังปลายถนนก็ยังไม่ได้ข้อมูลที่ต้องการ ในขณะที่รู้สึกสิ้นหวัง ก็เห็นเทียนหยุนชิงเดินมาจากที่ไกลๆ ในช่วงเวลาที่ผิดธรรมดาเช่นนี้ มีเพียงทายาทสายตรงของท่านประมุขที่สามารถดำเนินชีวิตได้ตามปกติโดยเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น

รู้ว่าเทียนหยุนชิงนั้นไม่ต้องการที่จะเห็นตน หลินซินเยียนจึงหันกายเตรียมที่จะจากไป แต่กลับนึกไม่ถึงว่าเทียนหยุนชิงจะรีบ ตามมาติดๆ "รีบร้อนอะไรกันหรือ คนไม่ได้ทำอะไรผิดจะตื่นตูมกันไปทำไม เจ้าทำอะไรมาจึงตื่นตูมเช่นนี้ล่ะ?"

“เจ้าหมายความว่าอย่างไร?” หลินซินเยียนชะงัก รู้สึกติดใจในคำพูดของนาง

เทียนหยุนชิงแค่นเสียงเย็น สองมือกอดอกหัวเราะตอบด้วยความเย็นชา "แค่เพียงเพราะอาศัยใบหน้าสวยๆ แม้แต่อาจารย์เจ้าก็ยังถูกเจ้าทำให้ลุ่มหลงด้วยหรือนี่? แต่ก็นะ ไม่อย่างนั้นอาจารย์เจ้าจะปกป้องเจ้าได้อย่างไรกัน?"

“นี่เจ้าพูดเรื่องอะไรอยู่กันแน่? มีอะไรก็กล่าวมาตรงๆดีกว่า ไม่อย่างนั้นก็เชิญเจ้าหลีกไป” หลินซินเยียนขมวดเรียวคิ้ว เริ่มมีโทสะอย่างหาได้ยาก

“เจ้าอยากรู้งั้นหรือ?” เทียนหยุนชิงเชิดหน้าอย่างพึงพอใจ “เช่นนั้นข้าก็จะไม่บอกเจ้า!”

หลินซินเยียนโกรธจนกัดเรียวริมฝีปาก นางเดินตรงไปเบื้องหน้าอยู่หลายก้าว ทว่านางหยุดลงกะทันหัน พลันเปลี่ยนใจหันกลับเดินไปยังทิศทางเรือนของนาง

นางตรงไปที่ห้องทำงานหาเซียวฝานและอู๋อี้ บางทีอาจเป็นเพราะใบหน้าที่จริงอย่างมากของนาง คนทั้งสองจึงวางมือจากงานที่กำลังทำอยู่อย่างไม่ค่อยเต็มใจ

"ศิษย์พี่ เกิดเรื่องอะไรขึ้นกันแน่? แต่ไม่ว่าจะเกิดเรื่องอะไรขึ้น ข้าก็หวังว่าพวกท่านจะเชื่อมั่นในตัวข้า" หลินซินเยียนกล่าวกับคนทั้งสองด้วยความจริงใจ

ความจริงใจของนาง เซียวฝานกับอู๋อี้นั้นได้เห็นแล้ว แต่ทว่าพวกเขาทั้งสองยังคงไม่ส่งเสียงตอบรับ

"ถึงแม้พวกเราจะอยู่ด้วยกันไม่นาน แต่ว่าข้าถือว่าพวกท่านเป็นบุคคลที่สนิทที่สุดของข้าจริงๆ ข้าชอบท่านอาจารย์ ข้าชอบศิษย์พี่ทั้งสอง ดังนั้นข้าขอร้องกับพวกท่านล่ะ อย่าให้ข้าเป็นคนสุดท้ายที่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น แม้ผลที่ตามมาจะเลวร้าย ข้า ข้าเองก็ควรมีสิทธิที่จะรู้ ขอร้องพวกท่านล่ะ..."

คำพูดในตอนสุดท้าย เหมือนมีก้อนแข็งๆติดอยู่ในลำคอของหลินซินเยียน นางจ้องมองเซียวฝานและอู๋อี้ด้วยความหนักแน่น ความจริงใจและความกังวลในดวงตาไม่มีปิดบังเลยแม้แต่น้อย

จนในที่สุดอู๋อี้เป็นผู้เริ่มเอ่ยปาก “ศิษย์พี่ หรือเราควรจะบอกแก่นาง”

เซียวฝานลังเลอยู่มาก เมื่อเงียบอยู่ครู่หนึ่งจึงค่อยพยักหน้า เพียงแต่แววตาที่มองหลินซินเยียนยังคงมีความเย็นชา “การตรวจค้นในเมื่อวาน ไม่ได้เป็นอย่างที่พวกเราคาดการณ์ไว้ ได้ค้นพบสิ่งของบางอย่างภายในห้องของเจ้า….”

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ชายาสุดที่รักของท่านอ๋องอำมหิต