ชายาสุดที่รักของท่านอ๋องอำมหิต นิยาย บท 167

ตอนที่ 167 เทพธิดาน้อยกลางทาง

ภายในรถม้าที่โคลงเคลง หลินซินเยียนผล็อยหลับไป ในห้วงภวังค์ นางดูราวกับว่าจะฝันไป ในความฝัน นางวิ่งอย่างไม่คิดชีวิต ทว่าคนที่อยู่ข้างหลังยังคงไล่ตามมาติดๆ คนเหล่านั้นถือมีดเอาไว้ในมือ ดูเหมือนว่าจะเห็นพลทหาร ขณะเดียวกันก็ชูดาบขึ้น ราวกับว่าเป็นกำลังพลของอู่เซวียนอ๋อง

นางหลับอย่างไม่สนิท เมื่อยามที่สะลึมสะลือตื่นขึ้นมา ก็เป็นช่วงหัวค่ำเรียบร้อยแล้ว

ภายในรถม้ามืดสนิท ไม่มีแม้แต่แสงรำไร นางขยับเขยื้อนกลับรู้สึกร่างกายอ่อนเปลี้ยเพลียแรง ก็จริง ทุกครั้งยามที่โม่จื่อเฟิงทำกิจกรรมรัก แต่ไหนแต่ไรมาก็มิเคยให้นางออกมาอย่างสงบ

นางกัดกรามแน่นตะเกียกตะกายมาถึงข้างหน้าต่างรถม้า เลิกม่านมองหนึ่งแวบ ก็เห็นทหารม้าที่อยู่รอบๆ รถม้า พลม้าที่อยู่ใกล้รถม้าสังเกตเห็นนางตื่นขึ้นมาแล้ว ทำเพียงเหลียวมองนางด้วยสายตาเย็นชาหนึ่งครู่ กลับมิได้เสวนาใดๆ กับนางแม้สักนิด

“พี่ใหญ่ ให้น้ำดื่มสักหน่อยได้หรือไม่” หลินซินเยียนรู้สึกลำคอแห้งผากยากเย็น จึงเอ่ยปากพูด

ทหารม้าผู้นั้นก้มหยิบกาน้ำที่ห้อยอยู่บนอานม้าส่งให้นาง แต่ว่าไม่ยอมรอให้นางคืนกาน้ำ ก็ตบท้องม้ารุดไปข้างหน้าเสียแล้ว

หลินซินเยียนเอาม่านรถแขวนไว้ข้างหนึ่ง เพื่อให้แสงสว่างจากนอกหน้าต่างสาดส่องเข้ามาในรถม้าได้ ยามนี้นางถึงมองได้ชัดว่านี่คือรถม้าขนาดเล็ก ซึ่งมีพื้นที่บรรทุกได้เพียงคนเดียว นางสำรวจอาภรณ์ที่ตนเองสวมใส่ มิใช่ชุดที่นางสวมเมื่อตอนเช้าแล้ว หนากแต่เป็นชุดยาวตัวใหญ่โคร่ง เนื้อผ้าชั้นดี หลินซินเยียนรู้สึกว่าคุณภาพเช่นนี้ ชุดนอนที่ทำจากไหมถักทอแพงลิ่ว นี่ก็คงมีแต่โม่จื่อเฟิงเท่านั้นถึงได้พิถีพิถันเพียงนี้

นี่คือชุดบรรทมของเขา หลินซินเยียนสูดลมหายใจเข้าลึก ในสมองกลับปรากฏฉากที่นางเคล้าเคลียโม่จื่อเฟิงภายในรถม้า เรื่องที่เคราะห์ดี เมื่อผู้ชายระเบิดเพลิงโทสะ วิธีเช่นนี้ยังคงใช้ดับอารมณ์พิโรธของผู้ชายได้ผล

นางเผลอรอยยิ้มเย็นออกมา นึกไม่ถึงว่าสุดท้ายแล้วตนเองก็หนีไม่พ้นจากการเป็นเครื่องมือระบายการมณ์เท่านั้น

ยามราตรี รถม้าจอดพักในเมือง เมืองนี้มิใช่เมืองเดียวกับที่หลินซินเยียนเคยหลบหนีออกมา นางเดาว่าโม่จื่อเฟิงจะต้องเลือกอีกเส้นทางหนึ่งเป็นแน่ ครั้งแรกที่หนีออกมาหมิงฉีเลือกเส้นที่มิได้เร็วที่สุดเพื่อหลบจากหูตาผู้คน แต่เลือกเส้นทางที่ปลอดภัยต่อตนเองที่สุด

ปัจจุบัน น่าจะเป็นช่องทางเดินทาง ช่องทางนี้กลับเมืองเฟิ่งชีจะต้องเร็วกว่าขามามากโขแน่

เป็นท่านอ๋องที่มีทรงอำนาจมากที่สุดในราชวงศ์ปัจจุบัน เจ้าหน้าที่กองรักษาการณ์ได้ทำความสะอาดกองรักษาการณ์ใหม่เอี่ยมตั้งแต่เนิ่น แม้อิฐบริเวณปากทางเข้าประตูก็ถูกคนเช็ดถูคราบตะไคร่อย่างประณีต

“พี่ใหญ่ ท่านสามารถนำเอาชุดที่เหมาะกับข้ามาให้ข้าสักชุดได้หรือไม่” หลินซินเยียนเริกม่านรถขึ้นแล้วเอ่ยกับคนที่อยู่นอกรถม้า นางมิอาจสวมชุดบรรทมของโม่จื่อเฟิงเดินออกไปข้างนอกได้ ตัวนางเองมิได้ใส่ใจอันใด ในกระดูกกระเดี้ยวนั้นเป็นหญิงสาวสมัย สำหรับเรื่องที่จะสวมชุดนอนปกปิดร่างกายนั้นมิใช่เรื่องใหญ่ แต่ว่า ที่นี่ไม่ใช่ยุคสมัยใหม่ สถานที่นี้แม้แต่หญิงสาวใฝ่โลกีย์ในหอนางโลมยังมิอาจสวมเพียงชุดนอนปรากฏกายต่อหน้าสาธารณชนได้ เพราะเช่นนั้นจะทำให้คนรู้สึกว่าไร้ยางอายเอาได้

คนผู้นั้นฟังแล้วแต่มิได้พูดอันใดกับนาง ทำเพียงหมุนกายเข้าเรือนพักแขก ต่อมาไม่นานก็นำเอาเครื่องนุ่งห่มสตรีออกมาหนึ่งชุด

หลินซินเยียนรับเอาผ้าผ่อน หลังจากที่ผลัดเปลี่ยนในรถม้าเสร็จสิ้นก็เริกม่านรถออก ขบวนคนเหล่านี้ล้วนเป็นชายฉกรรจ์ ดังนั้นจึงมิได้มีคนประคับประคองนางลงจากรถม้า หลินซินเยียนก็มิใช่คนปวกเปียก นางกระโดดพรึ่บเดียวก็สามารถลงจากรถม้าได้แล้ว

เพียงแต่ว่าชั่วขณะที่ตกถึงพื้น ฉับพลันนางก็นึกถึงปัญหาข้อหนึ่งขึ้นได้ ในเมื่อขบวนนี้ปราศจากสตรี เช่นนั้นแล้วชุดบรรทมก่อนหน้านี้ผู้ใดเป็นคนผลัดเปลี่ยนให้นางกันเล่า นางจินตนการฉากที่โม่จื่อเฟิงเปลี่ยนอาภรณ์ให้แก่ตนเองมิออกจริงๆ

เรือนพักแขกไม่กว้าง ขบวนทัพกลับมีจำนวนคนมาก ถึงแม้จะมิใช่จำนวนร้อยกว่าเฉกเช่นเมื่อเช้าตรู่แล้ว แต่ทว่ากำลังคนที่หลงเหลืออยู่ยังนับว่ามิน้อยเลย เจ้าหน้าที่กองรักษาการณ์แห่งหัวเมืองนี้ได้นำคนออกไปมากแล้ว ฉะนั้นขบวนคนไม่น้อยล้วนเช่าบ้านเรือนของประชาชนในหัวเมืองกันแล้ว เหลือคนไม่กี่สิบเฝ้าอยู่ ณ เรือนรับแขกแห่งนี้

แต่ว่า สิบกว่าคน...สำหรับกองรักษาการณ์ที่มีห้องหับเพียงเจ็ดแปดห้องแล้ว นับว่ายังแออัดอยู่โข

หลินซินเยียนเข้ามาในเรือนพัก กำลังคิดว่าอยากจะลากใครสักคนมาถามว่าเฉินซานอยู่ที่ใด ปัจจุบันอาการของเขาเป็นเช่นไรบ้าง ทว่านางไล่ถามนายทหารเหล่านี้รายบุคคลแล้ว กลับปราศจากนายทหารนายใดที่จะสามารถตอบคำถามนางได้ นางรู้ ทหารเหล่านี้ได้รับคำสั่งเด็ดขาดว่ามิให้พูดคุยกับนาง

นางถอนหายใจหนึ่งเฮือก และมิได้ไปรังควานอีก เพียงแต่ว่านางค้นหามิพบร่องรอยของเฉินซานสักรอบ กลางใจยิ่งรู้สึกกระเสือกกระสนขึ้นมา

ต่อมาครู่หนึ่ง ผู้ดูแลกองรักษาการณ์ก็รุดเข้ามา “แม่นาง ท่านอ๋องให้ท่านเข้าเฝ้าในห้องขอรับ”

หลินซินเยียนพยักศีรษะ เดินตามผู้ดูแลมาถึงห้องแยกชั้นสองของกองรักษาการณ์ ผู้ดูแลนำนางมายังหน้าประตูแล้วย่อกายถอยออกไป

หลินซินเยียนมิได้เคาะประตู เดินตรงไปยังประตูแล้วเข้าไปทันใด

หลังฉากกั้น มีไอน้ำพุ่งพวย ไอหมอกที่คละเคล้าฉากกั้นทำให้ทั้งห้องอบอวลไปด้วยบรรยากาศคับแน่นแสนร้อน

หลินซินเยียนเข้ามาในห้องแล้วปิดประตูสนิท มาถึงหลังฉากกั้นแล้วเห็นโม่จื่อเฟิงกำลังพิงถังสรงน้ำพลางหลับตานิ่ง เมื่อนางขยับเท้า ก็ได้ยินโม่จื่อเฟิงเอ่ยเสียงแผ่วเบา “มาอาบน้ำให้ข้า”

เข้าใจแล้ว! ให้นางมาเป็นทาสรับใช้นี่เอง

หลินซินเยียนเดินมายังข้างๆ ถังสรงน้ำ หยิบผ้านหนูขึ้นมาจากถัง หลังจากจุ่มผ้าชุ่มน้ำแล้วก็นำมาละเมียดเช็ดบริเวณแผ่นหลังของเขา ผิวของเขานั้นนุ่มลื่น ราวกับว่ามิใช่ผิวพรรณของบุรุษ นางเช็ดถูอย่างตั้งใจ ตั้งใจเสียจนไม่หละหลวม ปราศจากความหงุดหงิดใจ

ภายในห้อง มีเพียงเสียงของธารน้ำไหล

ครู่ใหญ่ต่อมา น้ำได้เย็นชืดบ้างแล้ว โม่จื่อเฟิงค่อยๆ ปรือตาขึ้นมา เขาหันมอง คว้ามือจับหมับเข้าที่คางเรียวของหลินซินเยียน ก่อนจะขบกัดเข้าอย่างมิได้บอกกล่าว หลินซินเยียนรู้สึกแสบร้าว ทว่ามิได้ขยับเขยื้อน

กระทั่งในปากมีโลหิตเจือจางไหลออกมา เขาจึงค่อยผละปล่อยริมฝีปาก ลิ้นร้อนของเขาโลมเลียบริเวณปากแผลตรงคางเล็กให้นาง แล้วหัวเราะอย่างชั่วร้าย “ข้าเคยบอกแล้ว มอบสถานะสนมให้แก่เจ้า ดูท่า เจ้าจะมิพึงใจกับตำแหน่งสนมเป็นอย่างมาก ลองพูดมาสิ ให้เหตุผลแก่ข้าสักข้อ อ้อ ใช่แล้ว หลังจากที่เจ้าหนีไป ข้าให้คนไปตามหมอเฉินเพื่อสอบถามข้อมูล ดูเหมือนว่าหมอเฉินจะเคยพูดขึ้นว่าเจ้าต้องการชีวิตคู่แบบผัวเดียวเมียเดียวรึ”

หลินซินเยียนเบิกตากว้าง นึกไม่ถึงว่าความคิดของนางจะถึงหูโม่จื่อเฟิงโดยผ่านหมอเฉิน นางคิดถึงเมื่อนางเคยเอ่ยเรื่องนี้ต่อหน้าสาวใช้ คิดว่าต้องเป็นเพราะสาวใช้คนนั้นไม่ทันระวังพูดพล่อยให้หมอเฉินฟังสินะ

“หากข้าบอกว่าใช่ล่ะ” หลินซินเยียนเอื้อนเอ่ยเรียวปากแดงเรื่อ เสียงเจือจาง พ่นลมหายใจใส่กลางฝ่ามือหนาของเขา ให้ความรู้สึกคันยิบเล็กน้อย

นางยอมรับเช่นนี้แล้ว ทำให้โม่จื่อเฟิงเคร่งขรึมขึ้น มือของเขาไล้ขึ้นลงตรงคางของนาง ราวกับต้องการมองสิ่งใดออกจากเค้าหน้างาม ทว่านอกจากนัยน์ตาแน่วแน่และหนักแน่นของนางแล้ว เขาก็มิได้เห็นสิ่งอื่นใดอีก

ดังนั้น เขาเข้าใจแล้ว ที่นางพูดเป็นเรื่องจริง

“เจ้ารู้หรือไม่ ความคิดของเจ้าช่างน่าขันนัก มิเพียงองค์ชายในตระกูลสูงศักดิ์ แม้แต่ชายชาตรีทั่วไป หรือคนที่ค่อนข้างต่ำศักดิ์ล้วนแต่มิอาจใช้ชีวิตคู่กับหญิงหนึ่งนางไปตลอดชีวิต ความเพ้อพกของเจ้าข้อนี้ เดิมทีก็แสนน่าอดสู” โม่จื่อเฟิงปล่อยมือนาง ก่อนจะดึงนางลงในถังน้ำด้วยมือเดียว

น้ำค่อนข้างเย็นเยียบ หลังจากที่เปียกชุ่มอาภรณ์นางแล้ว ยังทำให้นางหนาวจนสั่นสะท้าน

นางเงยหน้าขึ้นสบมองกับแววตาลุ่มลึกของโม่จื่อเฟิง “ข้ารู้ว่ามันเพ้อพก ดังนั้นแต่ไหนแต่ไรมาข้ามิเคยคิดจะแต่งงานที่นี่ ฉันนั้นท่านอ๋อง ท่านแต่งตั้งข้าให้เป็นสนม ความจริงแล้วข้ารังเกียจนัก สนม นางบำเรอ หรือแม้จะเป็นผู้หญิงในหอนางโลม สำหรับข้าแล้ว ล้วนเป็นเพียงของเล่นของท่านเท่านั้น มิได้แตกต่างกันเลย”

คำพูดของนางเจือแววกระแทกกระทั้น โม่จื่อเฟิงกอดรัดนางเอาไว้ ลืมพูดไปครู่หนึ่ง

“ประสาท!” ในที่สุด โม่จื่อเฟิงก็กล่าวอย่างเจือน้ำโหออกมาสองคำก่อนจะยันกายลุกขึ้นจากถังสรงน้ำ

เขารับเอาชุดบรรทมที่พาดไว้กับฉากกั้นแล้วสวมคลุมเรือนร่างก่อนจะพรวดพราดผ่านฉากกั้นไป

หลินซินเยียนแช่อยู่ในถังสรงน้ำ หนาวจนสั่นระริก กว่าจะปีนป่ายขึ้นมาอย่างทุลักทุเล นางโซเซไปยังหลังฉากกั้น พบว่าโม่จื่อเฟิงได้ประทับกายตรงแท่นนอนเป็นที่เรียบร้อยแล้ว เห็นว่านางออกมาอย่างโจ่งแจ้ง เขาก็เลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อย

“ยังมีอาภรร์แก่ข้าหรือไม่” หลินซินเยียนถาม

โม่จื่อเฟิงเอ่ยเสียงเย็น “เจ้าพูดเองว่าเจ้าเป็นเพียงของเล่นชิ้นหนึ่ง อยู่ข้างในห้อง เจ้ายังจะต้องการสวมเสื้อผ้าอันใดอีกเล่า ถอดเสื้อผ้า แล้วขึ้นมาเถิด”

หลินซินเยียนก็รู้สึกขวยอาย แต่ว่าก็ทำตามที่เขาเอ่ย แม้นว่าถูกเขาอบรมมาแล้วหลายต่อหลายครั้ง ฉะนั้นตอนนี้๓มิต้านทานของนางนั้นสนจะทนทาน

ทั้งสองนอนอยู่บนเตียง โม่จื่อเฟิงรั้งนางเข้ามาอยู่ในซอกแขนแกร่ง และกอดรัดนางอย่างนิ่งๆ

บรรยากาศเงียบสงบอ่อนโยนเช่นนี้ เป็นฉากที่หลินซินเยียนเคยวาดฝันเอาไว้ นางที่เคยไร้เดียงสาเคยใฝ่ปรารถนา หลังจากที่เติบโตแล้วจะได้หลับอยู่ภายใต้อ้อมอกของชายที่ตนเองรัก

แต่ว่า ที่ความใฝ่ฝันถูกเรียกว่าความใฝ่ฝัน ก็เพราะว่ามันไม่มันเกิดขึ้นได้อย่างง่ายดายในความเป็นจริงนั่นเอง

“ท่านอ๋อง เฉินซานเขา...” คำพูดของนางยังเอ่ยมิทันจบ โฒ่จื่อเฟิงก็พลิกให้ร่างนางอยู่ใต้อาณัติของตน เขาขบกัดริมฝีปากปาก มิให้โอกาสนางได้เอ่ยพูดแม้สักน้อย

เนื่องจากการเสด็จมาของกษัติรย์อู่เซวียนอ๋อง ค่ำคืนนี้ของกองรักษาการณ์นั้นเห็นได้ชัดว่ามิได้เงียบเชียบ มีนายทหารออกลาดตระเวนมิหยุดหย่อน แม้กระทั่งผู้ดูแลเรือนพักแขกก็ล้วนมิกล้าให้ตนนอนหลับไปอย่างง่ายดาย เกรงว่ากลางดึกหากท่านอ๋องมีรับสั่งสิ่งใดแล้วเขามิได้รับใช้ได้ทันท่วงที

เพียงแต่ ค่ำคืนนี้ ผู้ดูแลชะเง้อรออย่างศูนย์เปล่า

จนกระทั่งเช้าของวันรุ่งขึ้น ยามที่โม่จื่อเฟิงรอให้คนมาจัดเก็บสัมภาระเตรียมออกเดินทางอีกครั้ง ผู้ดูแลกองรักษาการณ์จึงค่อยเดินกลับห้องไปนอนพลางหาววอด

เนื่องจากนายทหารทุกนายได้รับคำสั่งว่าห้ามพูดคุยกับหลินซินเยียน นึกอยากจากสืบถามข้อมูลอันใดจากปากพวกเขาก็ล้วนเป็นเรื่องที่เป็นไปไม่ได้ ดังนั้นหลินซินเยียนจึงปีนขึ้นรถม้าของโม่จื่อเฟิงอย่างหน้าด้านๆ

สำหรับการบุกรุกของนางแล้ว แต่ไหนแต่ไหรมาโม่จื่อเฟิงมิเคยปฏิเสธสักครั้ง ดังนั้นยามที่นางปีนขึ้นมบนรถม้า เขาทำเพียงเริกคิ้วขึ้นพลางกล่าว “ท่านั้นน่าเกลียดเกินไปแล้ว”

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ชายาสุดที่รักของท่านอ๋องอำมหิต