ตอนที่ 212 สงครามยามแสก
หลินซีนเยียนถูกเขามองเสียจนอึดอัดไปหมด ทำได้เพียงเปล่งเสียงพูด “ฝ่าบาท หากท่านยังคงมองอยู่เช่นนี้ ข้า...ข้าคงเหนียมอาย”
“มิได้กำลังมองเจ้าเสียหน่อย” โม่จื่อเฟิงกล่าวประโยคนี้ย่างเย็นยะเยือก “ข้าแค่โปรดจะมองลูกของข้า ทำไมรึ”
เอาเถิด....แต่ว่าท่านจะมองอย่างถี่ถ้วนเช่นนี้หรือไม่หากมิใช่ยามที่นางป้อนนม งานอดิเรกนี้ ค่อนข้างจะ...เอ่อ...วิปลาสไปเสียหน่อย!
อย่างไรก็ตามเห็นได้ชัดว่ามีบางคนไม่รู้สึกถึงความไม่เหมาะสม ไม่เพียงแต่มองอย่างถี่ถ้วน มิหนำซ้ำยังพูดอย่างถือศักดาในตอนท้ายอีกว่าต่อไปหากนางจะให้นมบุตรทุกครั้งจะต้องรายงานเขา จากนั้น...เขาจะดู!
เขาจะดู!
ให้ตายเถอะ! ดูน้องสาวท่านสิ!
หลินซีนเยียนโกรธเสียจนเข็ดฟัน เริ่มที่จะชินกับคำเผด็จการนี้เสียแล้ว ต่อให้ฮ่องเต้เสด็จมาด้วยองค์เองคะเนว่าก็มิอาจเปลี่ยนแปลงเขาได้ นับประสาอะไรกับหลินซีนเยียนที่เป็นเพียงมนุษย์สตรีตัวเล็กๆ นางหนึ่งในสายตาของเขา!
เพียงแต่ว่า นางเพิ่งจะป้อนนมเสร็จ โม่จื่อเฟิงก็นำตัวบุตรไปกอด จากนั้นมิรอให้หลินซีนเยียนมาปฏิกิริยาตอบกลับ เขาเปิดประตูแล้วก็เดินออกไป สดับฟังเพียงเสียงข้างนอกประตู เขาสั่งกับจินมู่ “วี่จิ่งน้อยกินอิ่มหนำสำราญแล้ว เจ้าอุ้มเขาไปผิงแดดในสวนสักหน่อยเถิด”
จินมู่ยอบกายมารับตัววี่จิ่งน้อยไป จากนั้นทอดสายตาหรี่แววไปยังท้องฟ้าสีเทาทะมึน เวลานี้ถึงแม้จะเป็นช่วงเที่ยง แต่ว่า วันนี้ดูเหมือนจะปราศจากแสงอาทิตย์
“ยังทื่ออยู่ได้” โม่จื่อเฟิงใบหน้าเรียบตึง
จินมู่รีบเรียกสติกลับมา อุ้มวี่จิ่งน้อยเดินออกไปยังข้างนอกสวน “บ่าวจะไปบัดเดี๋ยวนี้” ตามเขาเถิด หากท่านอ๋องบอกว่ามีแสงแดด เช่นนั้นก็จะต้องมีแสงแดด เผื่อว่าไม่นานจะมีแสงอาทิตย์ทอประกายออกมาล่ะ
หลินซีนเยียนเดินตามรอยเท้าของโม่จื่อเฟิงออกไปด้านนอก เพิ่งเดินถึงปากประตู กลับถูกโม่จื่อเฟิงที่หมุนตัวกลับมาผลักให้ร่นเข้าไป นางยังมิได้ทำความเข้าใจว่าเกิดอันใดกันแน่ ก็ถูกโม่จื่อเฟิงต้อนให้ไปอยู่บนโต๊ะหนังสือเสียแล้ว
“ท่านอ๋อง ไม่ใช่ว่าท่านมิวางใจให้วี่จิ่งน้อยไปกับคนอื่นรึ”
“จินมู่ไม่ใช่คนอื่น ขอเพียงเขาไม่ตาย ก็มิอาจทำให้บุตรของเรามีอันเป็นไปแน่” ยามที่โม่จื่อเฟิงพูด การเคลื่อนไหวของมือหนานั้นแสนรวดเร็ว
หลินซีนเยียนกำลังคิดจะถามว่าหากเขามีความคิดเช่นนี้เรื่อยตลอดมา เหตุใดแรกเริ่มมีคนอุ้มลูกไปถึงได้ตามติดแจเช่นนั้น เพียงแต่คำพูดของนางยังมิได้เอ่ยออกไป ก็ถูกโม่จื่อเฟิงโน้มตัวลงมาขบเรียวปากเอาไว้ จากนั้นนางเพียงรู้สึกว่าตกอกตกใจ คำถามที่อยากถามก่อนหน้านี้ ก็ถูกฝ่ามือร้อนผ่าวของเขาทำให้ลืมถามออกมาเสียสนิท
“ท่านอ๋อง นี่...” นี่มันกลางวันแสกๆ! ยังมิให้นางหลงเหลือยางอายสักหน่อยหรือ!
พอนางขยับปาก โม่จื่อเฟิงก็ฉวยโอกาสสอดแทรกเข้าไปในโอษฐ์อิ่มของนาง ลิ้นเรียวเกี่ยวกระหวัด นางมิอาจเอื้อนเอ่ยคำใดออกมาได้อีก
ช่วงระยะครึ่งค่อนปี การเคลื่อนไหวของเขานั้นทรงอำนาจและกระเหี้ยนกระหือรือ ยังผ่านไปมิถึงครู่ยาม เขากลับด่วนหยุดชะงักลง เขาผละกายของนางออก นับว่าหายากนัก ดวงพักตร์เต็มไปด้วยความกระดาก
“สมควรตาย กลั้นไว้นานเกินไปแล้ว” ดังนั้นจึงรวดเร็วนัก เขาสบถเสียงต่ำ จ้องหลินซีนเยียนตาไม่กะพริบ ความหมายของแววทอประกายนั้นค่อนข้างจะเด่นชัด ขอเพียงนางอาจหาญที่จะขำขันเล็ดลอดออกมา เขาก็จะหักคอนางทิ้งเสีย
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ชายาสุดที่รักของท่านอ๋องอำมหิต
นางเอกเป็นพวกชอบความเจ็บปวด อ่านแล้วเหนื่อย เหมือนเราเห็นชีวิตคู่ผัวซ้อมเมีย แล้วอยากจะช่วยให้เค้าออกมา ผู้หญิงบอกไม่ต้อง เค้าถูกจริตแบบนี้ สงสารน้องชาย ช่วยมาก็จริง ทุกคืนต้องมานอนฟังอีผัวเมียคู่นี้มันทำร้ายกัน ป่วยจิตสุดๆ...
ทำไมนางเอกไม่คิดประกิษฐ์อาวุธไว้ป้องกันตัวเลยสักที เจอเหตุร้ายตลอดแต่ไม่เคยคิดปกป้องตัวเอง แล้วบอกว่าเป็นนักสร้างอาวุธนี่นะ...