ชายาสุดที่รักของท่านอ๋องอำมหิต นิยาย บท 291

ตอนที่ 291 เขามาแล้ว

รอกระทั่งตอนที่หลินซีนเยียนกลับห้องเตรียมจะพักผ่อนอีกครั้ง พลันพบว่าเงาคนตะคุ่มนั่งอยู่ข้างเตียงในห้อง นางตกใจแตกตื่นกำลังจะกู่ร้อง กลับได้ยินเสียงหนึ่งอันแสนคุ้นเคย

“เป็นข้าเอง” น้ำเสียงของโม่จื่อเฟิงในยามวิกาลฟังแล้วยะเยือกเย็น โดยเฉพาะบัดนี้อารมณ์ของเขาเสมือนไม่คงที่

คราวนี้หลินซีนเยียนจึงค่อยคลายเรียวปาก หลังจากล้วงเอาหินขีดไฟมาจุดคบเพลิงแล้วจึงค่อยนั่งลงที่ข้างเตียงพลางถาม “ดึกดื่นป่านนี้แล้ว ท่านมาได้อย่างไร?”

โม่จื่อเฟิงปราดมองนางอย่างมีเลศนัย จากนั้นจึงยื่นมือมาดึงนางเข้าสู่อ้อมกอด “ได้ข่าวว่าที่นี่เกิดคดีฆาตกรรมขึ้น ดังนั้นข้าจึงมาดูสักหน่อย”

เขากล่าวอย่างไม่ยี่หระ ทว่าตอนที่มือของเขาสัมผัสโดนนาง นางกลับยังรู้สึกถึงความเย็นวาบที่แผ่ซ่านมาจากมือของเขา ตั้งแต่ตอนเกิดเหตุกระทั่งปัจจุบันเวลาไม่ถึงหนึ่งชั่วยามโดยประมาณ จากจวนอู่เซวียนอ๋องถึงที่นี่รถม้าทั่วไปยังต้องใช้เวลาครึ่งวัน เขามาอย่างรวดเร็วเพียงนี้ อาชาต้องไม่หยุดพักกีบเท้าแน่ ดังนั้นจึงสะสมลมแรงจนทำให้บนมือมีอาการวูบเย็นเจือจาง

หลินซีนเยียนหัวใจละเมียดดุจไรฝุ่น ชั่วขณะก็นึกถึงข้อเหล่านี้ ในอกผุดความตื้นตันใจขึ้นระลอกหนึ่ง อดไม่ได้ที่จะกุมมือของเขามาอังบนแก้มของตนอย่างแช่มช้า ใช้พวงแก้มนี้ถูกับฝ่ามือหยาบกร้านของเขา ราวกับอยากใช้การกระทำนี้ขจัดความวูบเย็นของเขา

“ท่าน...กำลังเป็นห่วงข้าหรือ” นางกลืนน้ำลาย ถามเสียงแผ่วต่ำ

เป็นห่วงรึ? หัวคิ้วโม่จื่อเฟิงค่อยๆ มุ่นขมวด กลับไม่ได้ตอบคำถามนี้อย่างตรงไปตรงมา หนำซ้ำยังพลิกจากแขกเป็นเจ้าเรือนไกล่เกลี่ยบนแก้มผ่องของนางเนิบนาบ “กระทบถึงเจ้าหรือไม่”

นางรู้ เขากำลังถามนางว่าเรื่องการฆ่าคนในครั้งนี้กระทบกระทั่งถึงนางหรือไม่ ดังนั้นนางจึงส่ายหน้าไปมา “ข้าเลือดเย็นกว่าที่ท่านจินตนาการเอาไว้มาก ข้าเองก็เคยฆ่าคน”

เปลี่ยนเป็นชาติที่แล้ว นางไม่อาจคาดคิดว่าตนเองก็จะมีวันใดวันหนึ่งที่สามารถฆ่าคนได้ ทว่าปัจจุบันนางกลับปลดเปลื้องแล้ว หากว่าต้องฆ่าคนเพื่อปกป้องตนเอง เช่นนั้นนางเต็มใจเลือกการฆ่าคนไม่ใช่ฆ่าตัวเองตาย

“ไม่มีก็ดี” โม่จื่อเฟิงกล่าวเช่นนี้ แต่ยังหยิบกล่องผ้าฝ้ายออกจากอก เขาเอากล่องผ้าฝ้ายนั้นซุกใส่ในอกของนาง “แต่ว่าบำรุงความตึงเครียดไว้หน่อยก็ดี โสมนี้วันพรุ่งเจ้าไปห้องครัวให้คนช่วยเจ้าตุ๋นสักหน่อย”

“โสม?” หลินซีนเยียนรู้สึกน่าขบขัน เปิดกล่องนั้นออกมาดู เป็นแท่งแห้งเฉาหนึ่งก้าน โสมที่มีขนาดเท่าฝ่ามือถูกห่อหุ้มด้วยผ้าฝ้ายแดงข้างในสามชั้นข้างนอกสามชั้น เห็นได้ชัดว่าเป็นโสมที่เจ้าของหวงแหนและรักษาของสิ่งนี้ไว้อย่างดี “ท่านมาเยี่ยมข้า ยังเอาโสมมาด้วย? เกรงว่าคนได้รับบาดเจ็บจะเป็นข้า ดังนั้นจึงตระเตรียมเอาไว้ล่วงหน้าอย่างดีแล้วหรือ?”

แต่น่าเสียดาย โม่จื่อเฟิงเห็นได้ชัดว่าไม่อาจยอมรับเรื่องราวนี้ ความโอหังในกระเดี้ยวกระดูกของเขาไม่อนุญาตให้หญิงนางหนึ่งกระพือปีกชูหางได้ใจต่อหน้าเขาเป็นอันขาด ดังนั้นจึงทำเพียงกล่าวเจื้อยแจ้ว “อย่าดูถูกโสมนี้เชียว ถึงแม้จะหัวเล็กแค่นี้ แต่ว่าเป็นโสมหลายพันปีเชียวนะ”

“โสมพันปีหนอ...” หลินซีนเยียนมีสายตาชมเชยแปลกประหลาด คิดว่าโสมพันปีจะมีก็แต่ในนิทานปรัมปราเท่านั้น ในเทพนิยายยังกล่าวไว้ว่าโสมที่มีอายุพันปีล้วนฟื้นชีพ วิ่งเป็นด้วยนา แต่ว่าไม่รู้เหตุใด โม่จื่อเฟิงว่าใช่ เช่นนั้นนางก็เชื่อว่าโสมนี้จะต้องมีอายุถึงพันปีแน่

ในอกยิ่งอบอุ่นใจ หลินซีนเยียนยิ้มพลางนำโสมเก็บอย่างระแวดระวัง จากนั้นจึงเป็นฝ่ายนั่งบนตักของโม่จื่อเฟิง เงยหน้าขึ้นประทับรอยจูบหนึ่งฟอดบนพวงแก้มของเขา เดิมทีนางแค่นึกอยากเอาใจให้เขาเบิกบานใจ อุตส่าห์รุดมาหานางอย่างว่องไวตั้งครึ่งค่อนวัน

แต่ว่า จุมพิตดุจแมลงปอล้อสายธารของนาง เห็นได้ชัดว่าไม่อาจทำให้ใครบางคนพึงพอใจได้ นางยังไม่ทันได้ถอนริมฝีปากเรื่อแดงออกทั้งหมด วินาทีต่อมาก็ถูกเขาพลิกร่างทับลงมาบนเตียงนุ่ม

“อื้อ...” หลินซีนเยียนนึกอยากเอ่ยคำ เรียวปากกลับถูกครอบครอง ทำได้เพียงส่งเสียงอู้อี้เท่านั้น นางเบิกตาจ้องคบเพลิงที่โชติช่วงอันนั้นปราดหนึ่ง ขณะต่อมา ใครบางคนโบกมืออย่างไม่อดกลั้น คบเพลิงนั่นก็มอดดับลง

ท่ามกลางความมืดมิด หลินซีนเยียนจากการขัดขืนในตอนต้น กระทั่งความเอ่อล้นในตอนหลังใช้เวลาเพียงสามนาที อย่างไรก็ล้วนเป็นคู่ผัวตัวเมียกันแล้ว เรื่องแบบนี้ก็ไม่ต้องมีการขัดขืนอะไรกันแล้ว โดยเฉพาะก่อนหน้ายังมีเคยฉากคลุมเครือกับชายคนหนึ่งในป่าทึบ นางยิ่งละอายใจ ดังนั้นจึงเป็นฝ่ายรุกกว่ายามปกติอยู่บ้าง

เวลานี้ นางถือว่าเชื่อประโยคหนึ่งเข้าให้แล้ว ยิ่งเป็นผู้ชายที่ชอบนอกลู่นอกทาง หลังจากกลับเรือนยิ่งอาจทำดีต่อภรรยา บางที ความดีนั้น เป็นเพียงแค่เพื่อเติมเต็มความผิดบาปและหนี้ในใจก็เท่านั้น

หลังจากฟ้าสาง ภายในสวนปรากฏเสียงฆ้องดังขึ้น เป็นวิธีการปลุกกลุ่มคนให้ตื่นตอนเช้ามืดในแต่ละวัน

ตอนที่หลินซีนเยียนรู้สึกตัวนั้น รู้สึกว่ากระดูกทั้งกายเกือบจะแตกสลายแล้ว โม่จื่อเฟิงในคืนวาน กลายร่างเป็นหมาป่าผู้หิวโหยซึ่งไม่รู้จักอิ่มตัวหนึ่ง ทารุณนางเสียจนเกือบฟ้าสว่างจึงค่อยดำดิ่งสู่ห้วงนิทราลึก

ข้างฟูกเตียงว่างเปล่าเป็นที่เรียบร้อย โม่จื่อเฟิงมาแบบว่องไว จากไปก็อย่างไร้สุ้มเสียง

พิจดูฟูกเตียงที่เขาเคยนอนเมื่อคืนวาน ผ้าปูยังมีร่องรอยที่ถูกเขาทับอยู่เลือนราง นางอดไม่ได้ที่จะยื่นมือไปปัดรอยย่นนั้นให้ราบเรียบ บนใบหน้า เป็นรอยยิ้มที่อ่อนโยนซึ่งแม้แต่ตนเองยังไม่ล่วงรู้

“พี่น้องหลิน ท่านตื่นหรือยัง” เสียงของเหล่าหลิวปรากฏอยู่นอกประตู

“ตื่นแล้ว พี่ใหญ่หลิวท่านรอสักประเดี๋ยว สักครู่ข้าก็ออกไปแล้ว” หลินซีนเยียนรีบตอบกลับ คราวนี้หลังจากจัดเก็บของเข้าที่เข้าทางแล้วค่อยมาเปิดประตู

เหล่าหลิวเห็นว่านางมีแขนครบขาครบถ้วน จึงค่อยวางใจลงเปราะหนึ่ง “อัยยะ พี่น้องหลิน หัวมืดของวันข้าได้ยินว่าเกิดเรื่องถึงแก่ชีวิตขึ้นที่นี่ก็เร่งรุดมาเลย ยังดีที่เจ้าไม่เป็นอะไร ไม่เช่นนั้นก็ไม่รู้ว่าจะอธิบายกับเจ้านายอย่างไรแล้ว”

เหล่าหลิวอาศัยอยู่สวนฝั่งใน คืนวานหลังจากจัดการเรื่องราวเสร็จสิ้นก็ปิดกั้นข่าวคราว ดังนั้นเขาเพิ่งได้รับข่าวตอนเช้ามืดก็ไม่แปลกแล้ว

“ไม่เป็นไร เพียงแต่ช่างเงินเพียงคนเดียวที่มาเข้าร่วมบททดสอบในครั้งนี้ถูกสังหารแล้ว” ตอนที่หลินซีนเยียนกล่าวคำนั้นก็ตามหลังเหล่าหลิวมายังพื้นที่ว่างของสวนด้วยกัน

บนลานเปล่าได้มีการจับกลุ่มรวมคนจำนวนไม่น้อยแล้ว หลินซีนเยียนทอดมองเข้าไปอย่างถี่ถ้วน เห็นว่าข้างกายของคนที่มาเข้าร่วมบททดสอบล้วนมีช่างฝีมือที่มีคุณสมบัติยืนขนาบอยู่ ในห้องยังมีคนเดินออกมาเป็นลำดับติดๆ กัน

มีผู้ดูแลรออยู่ด้านหน้าเป็นที่เรียบร้อย ราวกับรอครบคนแล้วมีคำจะกล่าว ถือโอกาสยามที่รอคนอยู่ครู่นี้ หลินซีนเยียนจึงค่อยพูดคุยจิปาถะกับเหล่าหลิวตามใจชอบ

“ใช่แล้ว เหล่าหลิว ท่านรู้หรือไม่ว่าคนที่แนะนำช่างเงินผู้นั้นเป็นใคร” นางรู้สึกเนืองๆ ว่าเรื่องราวไม่ได้ง่ายดายเหมือนที่คาดคิดเอาไว้ขนาดนั้น แต่ว่าคนจำนวนมากกลับยังคงปักใจเชื่อว่าคืนวานมีคนต้องการกำจัดคู่แข่งจึงลงมือฆ่าคนอยู่

เหล่าหลิวพยักหน้า “ข้าคนนี้ไม่มีเรื่องบาดหมางอื่นใด ก็เพียงได้ยินมา ช่างเงินคนนั้นกล่าวกันว่าลูกหัวแก้วหัวแหวนรุ่นเดียวของช่างฝีมือชนชั้นสูงในตอนใต้ เขาสืบทอดงานฝีมือของตระกูล ต้นตระกูลนั้นยังมีอิทธิพลในท้องถิ่นอยู่บ้างอีกด้วย ว่ากันว่าท่านปู่ของช่างเงินคนนั้นยังเป็นคนที่ออกไปจากศาลาความลับแห่งสวรรค์อีกด้วย”

“ศาลาความลับแห่งสวรรค์?” หลินซีนเยียนคาดไม่ถึงจะได้ยินข่าวสารของศาลาความลับแห่งสวรรค์ในที่แห่งนี้ด้วย อดไม่ได้ที่จะเพิ่มความระแวดระวังขึ้นหลายเท่า

“ใช่ ก็คือศาลาความลับแห่งสวรรค์ที่ทั้งลึกลับทั้งเก่งกาจนั่นแหละ ในสายอาชีพช่างฝีมือนี้ ศาลาความลับแห่งสวรรค์ถือว่าเป็นการดำรงอยู่หนึ่งเดียวซึ่งไม่มีใครกล้าต่อกรด้วยแล้ว พี่น้องหลินก็เป็นช่างฝีมือ ไม่น่าจะไม่เคยได้ยินชื่อเสียงของศาลาความลับแห่งสวรรค์กระมัง” เหล่าหลิวกล่าว

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ชายาสุดที่รักของท่านอ๋องอำมหิต