ชายาสุดที่รักของท่านอ๋องอำมหิต นิยาย บท 378

ตอนที่ 378 สังหารล้างเผ่าพันธุ์

“ไม่สังหารข้า?” ชายเฒ่าได้ฟังก็เงยหน้าหัวเราะสะใจขึ้นมา “ท่านคิดว่า คนที่พวกข้าปกป้องตายแล้ว ข้ายังจะมีชีวิตต่อไปได้หรือ ชีพจรหัวใจของชายแก่ได้ดับสูญแล้ว มีชีวิตหลงเหลืออยู่เพียงเศษเสี้ยว ไฉนต้องให้ท่านมาลงมือสังหารข้า”

ชายเฒ่าที่สูญเสียแรงกล้าในการมีชีวิตอยู่ ขณะที่หน้าของกลุ่มคนค่อยๆ ก้มงุดลงบนพื้นอย่างแช่มช้า เขาทาบมือตรงแผงอกของตนเอาไว้ ทอดมองแผ่นฟ้ายามวิกาลอันมืดมิด ปราศจากคนรับรู้ว่าเขากำลังมองสิ่งใดอยู่กันแน่ เพียงแต่โฉมลักษณ์ของเขากลับเพียงต่อจะทำให้คนทั้งหมดขับเคลื่อนด้วยอารมณ์

มีอยู่ชั่วขณะหนึ่ง หลินซีนเยียนรู้สึกว่าชายเฒ่าที่จะสูญสิ้นชะตาชีวิตในไม่ช้าผู้นี้น่าสงสารเสียจนในอกของนางปวดร้าวอยู่ระลอกหนึ่ง

โม่จื่อเฟิงไม่ได้เอ่ยวาจา ทำเพียงทอดถอนใจอย่างเนิบนาบ เขาเดินมายังข้างกายของนาง ยื่นมือมากอดนางสู่อ้อมอก

ห้วงถวิลทั้งหมด ความกังวลใจทั้งสิ้น ความคลุ้มคลั่งทั้งมวล ความลุ่มหลงทั้งประการ ความมานะและบากบั่นทั้งหมดทั้งมวล ชั่วขณะนี้เสมือนกับได้รับการหลอมละลาย ยามที่ทั้งสองเอื้อมมือโอบกอดอีกฝ่ายนั้นต่างก็ระแวดระวังอย่างเห็นได้ชัดปานนั้น ด้วยเกรงว่าจะรบกวนต่อทุกเสี้ยวทุกเศษแห่งชั่วขณะนี้

“จื่อเฟิง ข้าคิดถึงท่าน” หลินซีนเยียนเปล่งเสียงสะอื้น น้ำตากลางขอบตาก็ร่วงลงมาทั้งอย่างนั้น

โม่จื่อเฟิงลูบไล้แผ่นหลังของนาง การเคลื่อนไหวอ่อนโยนเสียจนแทบจะปลดปล่อยธารออกมา ต่างก็กล่าวว่าคนโหดเหี้ยมแต่ละมุนละไมนั้นมักทำคนหวั่นไหวมากที่สุด ที่แท้ ประโยคนี้ก็เป็นเรื่องจริง ยามที่ผู้ชายคนหนึ่งซึ่งเลือดอำมหิตไม่แยแสทุกสิ่ง ละทิ้งความหยิ่งผยองโอหังลงเพื่อมอบความอ่อนโยนให้แก่ท่าน นึกไม่ถึงว่าจะสามารถมอบความประทับใจแก่มนุษย์ได้ยิ่งใหญ่ที่สุดบนโลกใบนี้

เขาเอ่ย “ข้า...ก็คิดถึงเจ้า”

น้ำคำที่แสนธรรมดา กล่าวออกมาจากปากของโม่จื่อเฟิง ทว่ากลับเลิศล้ำหายาก ผู้ใดจะคาดคิดท่านอ๋องที่เคยใช้ชีวิตในโลกอันมืดมิดแบบเขานั้น ก็มียามที่สามารถกล่าวคำประเภทนี้ออกมาได้

หลินซีนเยียนรู้ นี่สำหรับเขาแล้วต้องใช้ความกล้าหาญและกำลังใจมากมายเท่าไรกว่าจะย่างก้าวนี้ออกมาได้ ดังนั้นนางจึงยิ่งอยากร่ำไห้ไร้สุ้มเสียง เช็ดเอาคราบน้ำมูกและน้ำตาอยู่บนแผงอกของเขา

ทั้งสองต่างถวิลหากันและกันจนคลุ้มคลั่ง เพียงแต่น่าเสียดาย เวลาเช่นนี้กลับมิใช่ห้วงเวลาที่ดดีแก่การหวนรำลึกความหลัง ความล้มเหลวขององครักษ์ชูรา ได้เร่งแรงกระตุ้นในบทสรุปความพ่ายแพ้ของเฉินเทียนและคนอื่นๆ ช่วงเวลาไม่กี่นาที หนีหว่านนำชายชุดดำมาควบคุมเฉินเทียนและคนอื่นๆ เอาไว้ได้ คนของเฉินเทียนล้มตายลงเกือบสิ้นแล้ว คงเหลือไว้เพียงห้าถึงหกคนซึ่งบาดเจ็บสาหัส

หนีหว่านพาดดาบยาวบนลำคอของเฉินเทียน กลับยังไม่ได้หุนหันลงมือ ซ้ำยังมองไปยังโม่จื่อเฟิง เอ่ยถาม “เจ้านาย คนไม่กี่คนนี้ สังหารหรือไม่”

โม่จื่อเฟิงผละหลินซีนเยียนออก พลางเดินเข้ามาอย่างเนิบนาบ ยามที่มองเฉินเทียนและไม่กี่คนนั้น แววตาเย็นเฉียบกรีดกระดูก เอ่ยคำรามเสียงค่อย “เจ้าว่าอย่างไร? พวกเขาสังหารแม่ทัพทหารเล่เย่นของข้า ก็ให้พวกเขาตายลงด้วยความเจ็บปวดสิบเท่า!”

“เจ้าค่ะ!” หนีหว่านไม่ลังเลอีก เงื้อมือลงดาบ ศีรษะคนของเฉินเทียนก็ร่วงกึกลง บางที วินาทีแห่งความตายอาจเกิดขึ้นทันทีทันใดเช่นนี้ ทำให้ทุกคนล้วนไม่มีโอกาสได้เตรียมตัว

หลินซีนเยียนมองคนจำนวนนั้นถูกฆ่าล้างบางจนตาย ในอกค่อนข้างอึมครึม กลับตระหนักว่านางไม่ได้มีสิทธิ์เสียงแย้งอันใด เฉินเทียนและคนอื่นๆ สังหารกองทหารเล่เย่นลงจำนวนมหาศาลเพียงนั้น โม่จื่อเฟิงในฐานะผู้นำกองทัพเล่เย่นได้ล้างแค้นอย่างสมเกียรติให้แก่ผู้ใต้บัญชาของตนเอง เพียงแต่มันเป็นตำแหน่งระหว่างมนุษย์กับมนุษย์ก็เท่านั้นเอง

เฉินเทียนและพวกพ้องอาจจะเป็นชายฉกรรจ์ผู้กล้าและเที่ยงธรรม ทว่าเนื่องจากปัญหาด้านตำแหน่ง พวกเขาไม่อาจไม่สังหารแม่ทัพของทหารเล่เย่น ปราศจากความแค้นขุ่นชิงชัง เพียงแต่เป็นกรอบของตำแหน่งทั้งมวลก็เท่านั้น ทว่าฆ่าคนแลกชีวิต โม่จื่อเฟิงเองก็จะยึดถือหลักการเดียวกันในการสังหารพวกนั้นเสีย

บางที นี่ก็คือสังคม หลายต่อหลายครั้งได้ถูกแบ่งแยกออกจากความถูกและผิด ดำและขาว เพียงแต่เป็นปัญหาของตำแหน่งและสถานการณ์ก็เท่านั้นเอง

ภายในสวน ร่างไร้วิญญาณจำนวนมหาศาลนอนระเนระนาดกลาดเกลื่อน ฉากภาพเช่นนี้สำหรับหลินซีนเยียนผู้มีจิตวิญญาณสมัยใหม่แล้ว เคยไม่อาจหาญจินตนาการมาก่อนเลยสักนิด ทว่าตอนนี้ นางได้เฉยชากระทั่งสามารถยอมรับสภาพความจริงได้อย่างรวดเร็ว

เพียงแต่ ชายเฒ่าที่นอนแผ่หราอยู่ศูนย์กลางซากศพยังคงทำให้นางมีความรู้สึกบางอย่างซึ่งไม่สบายเป็นอย่างยิ่ง นางเดินไปยังเบื้องหน้าของชายเฒ่าคนนั้นอย่างแช่มช้า ยอบกายลง พลางกล่าวกับเขา “ท่านและข้าไม่เคยพบกันมาก่อน เดิมทีข้าไม่ควรมีการติดต่อสื่อสารใดๆ กับท่าน ทว่า ท่านทำให้ข้านึกถึงท่านอาจารย์ของข้า ดังนั้น หากท่านยังมีความปรารถนาที่ยังไม่สมบูรณ์อะไรแล้วล่ะก็ บอกข้าเถิด ข้าไม่อาจสามารถช่วยให้ท่านทำสำเร็จได้ แต่ว่า...ข้าจะลองดูสักตั้ง”

นางมิใช่ผู้กอบกู้โลก และยิ่งไม่อาจมองว่าตนเป็นเทพเซียน ไม่ว่าสังคมนี้จะเป็นคนแข็งแกร่งกินผู้อ่อนแอไร้ซึ่งหัวใจ แต่ท้ายที่สุดนางจะทำให้ตนเป็น...มนุษย์คนหนึ่ง!

ชายเฒ่านั้นหันหน้ามองยังนางอย่างพิศวง เสมือนกับคาดไม่ถึงว่าเวลาเช่นนี้ยังจะมีคนเอื้อนวาจาพรรค์นี้กับเขา สถานะของเขาและนางคือคู่ศัตรูกันนะ “แม่นางน้อย คนเช่นท่านสามารถเดินเคียงด้วยกันกับอ๋องอู่เสวียน ช่างทำให้คนรู้สึกพิลึกเสียจริง”

“ข้าเองก็รู้สึกเช่นนี้” ประโยคนี้หลินซีนเยียนกลับไม่ได้โต้แย้ง ทำเพียงหัวเราะเย้ยหยันกับตัวเอง

ชายเฒ่าคนนั้นเงียบขรึมอยู่เนิ่นนาน ลมหายใจของเขาค่อยๆ แผ่วเบาลงไป กลางดวงตาของเขาราวกับลังเลยิ่ง แต่ว่า ก่อนที่จะหลับตาลงในครั้งสุดท้าย ยังคงอดพูดกับนางหนึ่งประโยคไม่ได้ “ขอบคุณ”

ชายเฒ่าผู้นั้นกระทั่งยามตายก็ยังไม่ได้เอ่ยความปรารถนาสุดท้ายของตน บางที เป็นเพราะว่าเขาไม่เชื่อหลินซีนเยียนเลยสักนิด บางที เป็นเขาที่รู้สึกว่าผู้คนจะล้มตาย ความปรารถนาสุดท้ายยังจะมีความหมายอันใดอีก เพียงแต่ ไม่มีคนรู้ว่าเขาคิดอย่างไรกันแน่

หลินซีนเยียนทอดถอนใจยาว นางได้พยายามถึงที่สุดแล้ว ผลลัพธ์จะเป็นเช่นไรก็ไม่ใช่สิ่งที่นางจะควบคุมได้แล้ว นางกำลังเตรียมจะยันกายขึ้น ฉับพลันกลับมองเห็นยังทิศทางของเรือนหลักทางหางตา คนหนึ่งซวนเซลงที่พื้น นางตื่นตระหนก กึ่งวิ่งเข้าไปโดยพลัน

คนที่ล้มพับบนพื้น เป็นเซียวฝานซึ่งถูกจองจำอยู่ก่อนหน้า ท่ามกลางความโกลาหลวุ่นวาย เขาเหมือนกับได้รับบาดเจ็บ หน้าอกล้วนถูกเปียกชุ่มด้วยโลหิตสด บนใบหน้าก็เปรอะเปื้อนด้วยสีแดงสด หัวใจของหลินซีนเยียน เต้นพลาดหนึ่งจังหวะในวินาทีนั้น นางสั่นระริกพลางยื่นมือไปอังลมหายใจของเซียวฝาน

“ยังดี” รู้สึกถึงลมหายใจรวยรินลอยมายังปลายนิ้ว นางจึงค่อยถอนหายใจโล่งอก ผลักเซียวฝานอย่างเบามือ “ศิษย์พี่! ศิษย์พี่! ท่านฟื้นเร็ว!”

บางทีเสียงเรียกของนางกระตุ้นต่อมความรู้สึกของเซียวฝาน เซียวฝานค่อยๆ เปิดเปลือกตาอย่างแช่มช้า มองเห็นหลินซีนเยียนตรงหน้าอย่างพร่าเลือน เค้าหน้าเผยรอยยิ้มอันขมขื่นออกมา

หลินซีนเยียนเห็นว่าเขาฟื้นขึ้นมา และเอื้อมมือไปพยุงเขา ทว่าเพิ่งยื่นมือออกไป ก็มีเสียงสนั่นดังมาจากเบื้องหลังของนาง นางยังไม่ทันได้หันหน้า ก็ได้ยินเสียงแผดคำรามกรีดร้องของหนีหว่าน “เจ้านาย!”

ในอกของหลินซีนเยียนสะพรึง นาทีนั้นได้ชักมือไปพยุงเซียวฝานกลับ หมุนกายถลาออกไปยังทิศทางของโม่จื่อเฟิง

เห็นเพียงโม่จื่อเฟิงกระอักเลือดซวนเซลงบนพื้น ทั้งเรือนกายสูญสิ้นสติแล้ว แต่ว่ามือของเขาราวกับกำลังยื่นออกมาเบื้องหน้า ทิศทางของปลายนิ้วนั้นชี้มาที่หลินซีนเยียน

“จื่อเฟิง!” หลินซีนเยียนแผดคำราม ในลำคอกลับเปล่งเสียงไม่ออก เพียงแต่ริมฝีปากนั้นเนื่องจากการตะโกนวินาทีนั้นจึงแห้งผาก อากัปกิริยาทั้งเรือนกายประดุจคลั้มคลั่งก็ไม่ปาน

นางหมุนกายไม่ยอมอย่างเด็ดขาด นางไม่มีทางรับรู้ชั่วกาล ขณะที่นางหมุนกายมุ่งสู่โม่จื่อเฟิงนั้น แววตาของเซียวฝาน ในตอนท้ายก็ค่อยๆ มืดสลัวลง

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ชายาสุดที่รักของท่านอ๋องอำมหิต