ชายาสุดที่รักของท่านอ๋องอำมหิต นิยาย บท 377

ตอนที่ 377 คนแห่งตระกูลเฟิ่ง

ความปวดร้าวในจินตนาการกลับไม่ได้บังเกิดขึ้น ถึงแม้หลินซีนเยียนจะมองไม่เห็นสถานการณ์ของแผ่นหลัง ทว่ากลับสามารถสูดดมกลิ่นคาวเลือดอันแสบจมูก ขอบตาของนางก็ชอุ่มขึ้น พลางสะอึกสะอื้น “จื่อเฟิง...”

“เชื่อในข้า” โม่จื่อเฟิงกล่าวเพียงสามคำนี้ จากนั้นจึงใช้แรงขว้างนางไปยังทิศทางของหนีหว่าน

หลินซีนเยียนเพียงแค่รู้สึกมึนเวียนอยู่ครู่ จากนั้นก็ปรากฏตัวอยู่ในอ้อมอกของหนีหว่านแล้ว เขาว่า เชื่อในเขา? หลินซีนเยียนร่ำไห้ไม่ออกเสียง นางเกลียดที่ตัวเองไร้ความสามารถจริงๆ เหตุใดเวลาเช่นนี้ นางไม่ได้ผลิตอาวุธที่ฆ่าล้างบางครั้งใหญ่ออกมาช่วยเขาสักอัน? นางเป็นผู้เชี่ยวชาญการผลิตอาวุธคนหนึ่ง เหตุใดสำหรับเขาแล้วกลับไร้สมรรถภาพอย่างเห็นได้ชัดเพียงนั้น

นางไม่ควรมองข้ามนางเอกในนวนิยายข้ามภพเหล่านั้น ที่แขวนห้อยครอบครองนิ้วชี้ทองคำก็ไม่ปาน ทว่า นางไม่มี นางไร้สามารถถึงทำได้เพียงพึ่งพิงอำนาจของเขาเท่านั้น

นางสามารถทำอาวุธบางอย่างได้ ทว่าต่อหน้าของปรมาจารย์วิทยายุทธ์เหล่านี้ ของเหล่านั้นไม่ได้เลยสักนิด! หรือว่า นางจะต้องประดิษฐ์ปืนผาหน้าไม้ถึงจะสู้ได้!

ความคิดอ่านของหลินซีนเยียนสะเปะสะปะนัก ศีรษะ ปวดหนึบเป็นระยะ นางไม่อาจหาญสบมองสถานที่โม่จื่อเฟิงตีรันฟันรบได้ ทว่ากลับมองออกไปอย่างควบคุมไม่อยู่แล้ว

หนีหว่านสังหารผู้ที่พยายามจะหลบหนีคนหนึ่งทิ้ง ซ้ำยังปกป้องนางเอาไว้เบื้องหลังพลางกล่าว “เจ้านายต้องไม่แพ้แน่!”

“เขาก็เป็นมนุษย์ ไม่ใช่เทพนะ” ดังนั้น นางจึงกลัวว่าเขาจะแพ้! หลินซีนเยียนสะอื้น ทำได้เพียงเบิกตามององครักษ์ชูราสองนายนั้นล้อมเขาเอาไว้

“ในอกของพวกเรากลุ่มนี้ เจ้านายก็คือเทพ!” หนีหว่านกัดฟันกล่าว

หลินซีนเยียนส่ายหน้า ไม่ว่าโม่จื่อเฟิงจะเป็นเทพหรือไม่ นางรับรู้เพียง นางไม่อยากให้ยามที่เขาตกอยู่ในคราวเป็นคราวตายตนเองกลับไร้ความสามารถ นางขบเรียวปากล่างแน่น กลางสมองรวดร้าวราวกับฝังเข็มก็ไม่ปาน ฉับพลัน แววตาของนางทอประกายระริก มองเห็นหลิงฮ่าวที่กำลังจะเคลื่อนย้ายไปทางหน้าประตู!

“ในกายมีพิษหรือไม่” หลินซีนเยียนถามหนีหว่าน

หนีหว่านนิ่งทื่อ ล้วงมือไปหยิบเอาขวดลายครามอันหนึ่งออกมาโยนใส่กลางมือนาง “พิษยางน่องร้ายแรงที่สุด อย่าทำร้ายตัวเองเข้าล่ะ”

หลินซีนเยียนพยักหน้า มองไปยังทิศทางหน้าประตูด้วยแววตาเย็นยะเยือก

หลิงฮ่าวภายใต้การอารักขาขององครักษ์ชูรานายหนึ่ง ได้ล้ำเข้าถึงทิศทางของปากประตูสวนแล้ว ไม่นานก็จะหลบหนีออกไปจากวงล้อมหนักแน่นนี้ได้

“หลิงฮ่าว” หลินซีนเยียนเดินเข้าไปยังทางของหลิงฮ่าวอย่างแน่วแน่ เอ่ยปากเรียกเขาเอาไว้ด้วยน้ำเสียงเย็นเยียบ

ในอกหลิงฮ่าวเคลือบแคลง หันหน้ากลับไปก็มองเห็นหลินซีนเยียน ดวงตาหรี่เล็กลง วางแผนในใจ แผดเสียงกล่าวกับองครักษ์ชูราด้านข้าง “นางคือจุดอ่อนของโม่จื่อเฟิง จับนางเอาไว้ก็สามารถบงการโม่จื่อเฟิงไว้ได้! เจ้าคงไม่อยากให้เพื่อนร่วมชะตาของเจ้าถูกโม่จื่อเฟิงสังหารหรอกกระมัง!”

องครักษ์ชูรานั้นเดิมก็ไม่อยากรนหาปัญหาใหม่ใส่ตัว แต่ว่าฟังคำสั่งของหลิงฮ่าว ชะงักอยู่ครู่ และโถมเข้ามาใส่หลินซีนเยียน

หนีหว่านตอบสนองในเวลาแรกเริ่ม แทรกกำบังการต่อสู้ระหว่างหลินซีนเยียนกับองครักษ์ชูราเอาไว้

หลินซีนเยียนกระตุกมุมปากยิ้มจืด ฉวยเอาโอกาสนี้สาวเท้าถลาเข้าใส่หลิงฮ่าว “หลิงฮ่าว ไม่อย่างนั้น เราทั้งคู่มาวัดพีเคขั้นสุดกันหน่อยดีไหม”

“ผายแขก?“หลิงฮ่าวถูกภาษาสแลงของนางทำให้แตกตื่นไม่น้อย แต่ว่าก็ยังกำกริชในมือแน่นอย่างมีเชาว์ “เจ้าผู้หญิงนางหนึ่ง จะเป็นไปได้ว่าข้าคุณชายน้อยจะกลัวเจ้าจนเสียท่า? ดีเลย จับเจ้าเอาไว้ เช่นนั้นโม่จื่อเฟิงก็จะเป็นหนูติดจั่นแล้ว!

“ลองดูสิ” แววประกายดวงตาของหลินซีนเยียนไม่เคยแน่วแน่เช่นนี้มาก่อน ในมือของนางปราศจากอาวุธ แต่กลับก้มเก็บเอาดาบสะพายของชายชุดดำนายหนึ่งซึ่งตายไปแล้วขึ้นมาจากพื้นระหว่างทางเดินมา ซ้ำยังกระชากสายรัดเอวของตนออก การเคลื่อนไหวของนางคล่องแคล่วนัก ทั้งสาวเดินไปพลางทั้งนำเอาสายรัดเอวพันรอบด้ามดาบของดาบยาวเล่มนั้นเอาไว้ จากนั้นจึงนำยาพิษในขวดลายครามเล็กโรยอยู่บนดาบยาว

หลักจากทำทุกอย่างเสร็จ นางพลันหยุดชะงักฝีก้าว หลิงฮ่าวเองก็ถลาเข้ามาทางนี้ นางแย้มยิ้มในทันที กล่าวเสียงแผด “หลิงฮ่าว ดาบเล่มนี้ ถือว่าเป็นการลงทัณฑ์ที่เจ้ารวนเรเกี้ยวเล่นกับผู้หญิง!”

หลิงฮ่าวยังไม่ทันได้ตอบสนองกลับ ก็เห็นหลินซีนเยียนที่อยู่เบื้องหน้าของตนหายสูญไปแล้ว เขานิ่งงัน ครู่ต่อมา ค่อยค้นพบว่าหลินซีนเยียนปรากฏตัวอยู่บนปลายศีรษะของตนเอง ที่แท้ สถานที่ที่หลินซีนเยียนหยุดค้างลงเป็นใต้ต้นไม้ลำใหญ่ต้นหนึ่ง นางคว้ากิ่งไม้เอาไว้มือเดียว และใช้ความหยืนหยุ่นของกิ่งไม้ เพื่อดีดตัวเองออกไปราวกับแผลงศรก็ไม่ปาน

ดังนั้นหลิงฮ่าวคิดไม่ถึงเลยสักนิดว่านางซึ่งไม่เป็นวรยุทธ์จะสามารถไปถึงยังเบื้องหน้าของเขาด้วยความเร็วอันน่าพิศวงเยี่ยงนี้ เขานึกใช้กริชนั่นต่อต้าน ทว่าหลินซีนเยียนกลับกวัดแกว่งมันต่อหน้ากายเขาซ้ำยังปาปลิวกลับไป

มือของนาง ยังคงไม่ได้ผละปล่อยกิ่งไม้ ดังนั้นตอนที่ปาส่งไปยังเบื้องหน้าของเขา เป็นเพียงการยั้งหยุดแค่เวลาหนึ่งวินาที

เพียงแต่ หนึ่งวินาที ในระหว่างความเป็นความตาย ก็สามารถตัดสินผลแพ้ชนะของการสู้รบได้ ชั่วขณะนั้น หลินซีนเยียนชักดาบยาวออกมา วางพาดไว้บนลำคอของหลิงฮ่าว

ขณะที่นางจับเอากิ่งไม้ร่วงกลับสู่ที่ตั้งต้น นางดึงเอาสายรัดเอวที่เชื่อมต่อกับด้ามดาบยาวไว้ กล่าวเสียงต่ำ “หลิงฮ่าว เจ้าตายแล้ว”

สิ้นสุดคำกล่าว บนมือของนางพอออกแรง กระชากอย่างป่าเถื่อน ดาบยาวหมุนรอบคอของหลิงฮ่าวอยู่หลายรอบ ศีรษะที่เปียกชุ่มโลหิตสด ก็ถูกตัดฉับลงมาเช่นนั้นเอง

ทุกสิ่งอย่างนี้ ระหว่างสายฟ้าหินเหล็กไฟ อาวุธที่เรียบง่ายอันหนึ่งนี้ และสำเร็จลงในชั่วลมหายใจเดียวเท่านั้น ทว่านาง หลินซีนเยียน ก็ทำมันสำเร็จในที่สุด

ขณะตอนที่ศีรษะของหลิงฮ่าวกลิ้งหล่นบนพื้น องครักษ์ชูราผู้มีหน้าที่รับผิดชอบปกป้องหลิงฮ่าวทั้งสามนายกระอักเลือดสดออกมาในเวลาเดียวกัน พวกเขาและเจ้านายที่ตนเองก็อารักขาราวกับยึดโยงกันด้วยสิ่งบางประการ ดังนั้นตอนที่เจ้านายตายลง เรือนร่างของพวกเขาเองก็ได้รับความเสียหายอย่างแสนสาหัส!

โม่จื่อเฟิงย่อมไม่ละทิ้งโอกาสงามๆ เช่นนี้เป็นธรรมดา มือหนึ่งกดทับบนปลายกระหม่อมขององครักษ์ชูรานายหนึ่ง ได้ยินเพียงเสียงแควกเดียวคอของเขาก็ขาดฉับ

หนีหว่านเองก็เสียบดาบเข้าทรวงอกขององครักษ์ชูราที่ต่อสู้กับนาง

คงเหลือไว้เพียงชายเฒ่านั่นที่ร่วงหล่นบนพื้นอย่างโซซัดโซเซ ทาบมือตรงแผงอกของตนเองด้วยใบหน้าเปี่ยมร้าวราน “เหล่าวรีชนทั้งสองแห่งข้าหนอ! ชีพจรของพวกเรานี้ จะขาดลงอย่างสมบูรณ์แล้วเชียวหรือ”

ที่แท้ องครักษ์ชูราทั้งสองนายที่วายชีพลงก็เป็นบุตรของชายเฒ่าผู้นี้นั่นเอง

ชายเฒ่าบาดเจ็บสาหัส โม่จื่อเฟิงกลับไม่รีบร้อนสังหารเขาแล้ว แต่เดินมายังเบื้องหน้าของชายเฒ่า ปรายตามองเขาอย่างดูแคลน พลางเอ่ยถาม “พวกเจ้า...สรุปแล้วเป็นผู้ใดกันแน่”

ชายเฒ่าผู้นั้นเงยหน้าขึ้น ยามที่มองโม่จื่อเฟิงนั้น ในแววตาเต็มเปี่ยมด้วยความสิ้นหวัง การแสดงออกทางสีหน้าเสมือนกับคลุ้มคลั่งขึ้นมาไม่น้อย “นี่คือลิขิตฟ้าต้องการล้างบางคนแห่งตระกูลเฟิ่งของข้าแล้วหนอ! นึกดูว่าตระกูลเฟิ่งข้ามีเจ็ดสายเลือด ปัจจุบันเหลือเพียงห้าสายเลือด ตอนนี้สายเลือดชายแก่นี่ก็จะดับสูญในไม่ช้า ในอนาคตก็คงเหลือเพียงสี่สายเลือดแล้ว น่าเสียดาย กระทั่งปัจจุบันพวกเราเองก็ยังไม่อาจพบตัวธิดาผู้พลีชีพแห่งตระกูลเฟิ่งข้า มิเช่นนั้น...คนแห่งตระกูลเฟิ่งก็คงไม่อาจถูกสายเลือดนี้สาปแช่งสืบไปแน่ ต้องมาสละชีพเพื่อเจ้าคนไร้ยางอายพวกนี้!”

ชายเฒ่าเจ็บแค้นเคืองโกรธยิ่งยวด จู่ๆ ก็ร่ำไห้ปล่อยโฮขึ้นมา

นึกดูแล้ว พวกเขาก็ไม่ได้อยากเอากำลังทั้งหมดที่มีไปปกป้องคนอย่างหลิงฮ่าวนั่นหรอก ทว่าเนื่องจากต้องคำสาป ดังนั้นจึงไม่อาจทัดทานได้

“ที่แท้ พวกเจ้าเป็นคนของตระกูลเฟิ่ง” หัวคิ้วของโม่จื่อเฟิงมุ่นขมวดขึ้นมา “ตำนานกล่าวว่าสายเลือดของตระกูลเฟิ่งมีความจำเพาะมาก ตอนนี้ดูท่า สายเลือดจำเพาะนี้ก็ไม่ใช่เรื่องดีสำหรับพวกเจ้าเลย หากว่าเจ้าสามารถบอกข้อเร้นลับของตระกูลเฟิ่งให้ข้ามากกว่านี้ ข้าจะไม่สังหารเจ้าก็ได้”

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ชายาสุดที่รักของท่านอ๋องอำมหิต