ชายาสุดที่รักของท่านอ๋องอำมหิต นิยาย บท 390

ตอนที่ 390 มาตรการรักษาความปลอดภัยแห่งเมืองชวน

หลินซีนเยียนพยักหน้าพลางยิ้มจาง ควักเอาตั๋วเงินใบละสามสิบตำลึงออกมาจากอกเสื้อหนึ่งใบให้แก่เขา “ตลอดทางนี้ลำบากพี่ใหญ่แล้ว”

ชายวัยกลางคนรับเงินพลางหัวเราะร่า หัวเราะเสียจนไม่หุบเรียวปาก “แม่นาง ท่านช่างเป็นคนสดใสเสียจริง ก่อนหน้านี้ข้าเคยลากรถเช่นนี้ตลอดชีวิต ก็ไม่มีใครไม่ต่อรองราคา แม่นางไม่รู้อะไรเสียแล้ว หากว่าเปลี่ยนเป็นเมื่อสองปีก่อน พบเจอคนที่สดใสปานฉะนี้เฉกเช่นแม่นาง ข้าเองก็จะเป็นฝ่ายลดราคาให้แก่ท่านเอง เพียงแต่ปีกลายแม่ชราของข้าเป็นโรคร้ายแรง ภรรยาก็ทรุดล้มขาหัก ในบ้านยังมีเด็กหัวโตอีกตั้งสองคนรอกินข้าวอยู่ ดังนั้นเงินทองทุกแดงข้าล้วนมัธยัสถ์ยิ่ง ดังนั้นแม่นาง ต้องขออภัยแล้ว เส้นทางนี้ข้าไม่อาจลดเงินให้ท่านได้แล้ว”

ตลอดเส้นทาง ชายวัยกลางคนผู้นี้ล้วนหัวเราะร่า หากไม่ใช่ว่าปัจจุบันเขากล่าวเช่นนี้ หลินซีนเยียนก็นึกไม่ถึงเลยจริงๆ ว่าเขาจะเป็นบุคคลหนึ่งที่ถูกภาระหนักอึ้งของชีวิตกดดันอยู่เยี่ยงนี้

ก้นบึ้งหัวใจ ห้ามไม่อยู่ที่จะชื่นชมชายวัยกลางคนผู้นี้ขึ้นมา คนๆ หนึ่ง เลือกเห็นแก่ตัวอย่างง่ายดาย นึกอยากดูแลตนเองดีๆ ก็ง่ายดายมาก ทว่าต้องดูแลคนในครอบครัวอันเป็นที่รักให้ดิบดีนั้น กลับเป็นเรื่องที่ต้องการความกล้าหาญอย่างยิ่งยวด

ฉับพลันนางรู้สึกว่าอารมณ์ความย่ำแย่ในอกมลายลดลงไม่น้อยแล้ว บางครั้งอาจถูกความมุมานะของชายวันกลางคนผู้นี้แผ่กระจายเข้ามากระมัง “ไม่เป็นไรหรอกพี่ใหญ่ ไม่ต้องให้ท่านลดเงินแก่ข้า ท่านรีบกลับบ้านไปดูแลคนในครอบครัวเถิด”

ชายวัยกลางคนพยักหน้า หลังจากที่ประสานมือคารวะหลินซีนเยียนครั้งหนึ่งแล้วจึงหมุนกายจากไป

นางทอดสายตาส่งพลขับวัยกลางคนผู้นั้นค่อยๆ เดินไกลออกไป จึงค่อยหมุนกายไปยังทิศทางของประตูเมือง เพียงแต่นางเพิ่งเดินไม่กี่ก้าว พลันได้ยินเสียงครวญครางดังลอยมาจากด้านหลัง เมื่อนางหันหน้าไปมอง ครู่นั้นสีหน้าก็แปรเปลี่ยนอย่างมาก

ชายหนุ่มวัยรุ่นหยาบโลนสองคน ฉุดลากคนขับรถม้าผู้นั้นลงมา หนึ่งในนั้นยังถือกริชปักใส่แผงอกของคนขับวัยคนกลาง คนขับวัยกลางคนตกอยู่ในบ่อเลือด มือทั้งคู่ยังกำเอากระเป๋าเงินของตนแน่น

ช่างเห็นแก่เงินไม่เห็นแก่ขีวิตนัก! อย่าบังคับให้ลงมือกับคนแก่” ชายวัยรุ่นที่ถือมีดอยู่ เหยียบเท้าข้างหนึ่งไว้บนกายของคนขับวัยกลางคน โน้มเอวไปก็ฉกกระเป๋าเงินของเขา

คนขับวัยกลางคนนั้นขับลมมากหายใจได้น้อยแล้ว ไม่มีเรี่ยวแรงไปปัดป้องชายหนุ่มคนนั้นไว้สักนิด ทำได้เพียงมองเขาฉวยกระเป๋าเงินไปตาปริบๆ ในดวงตาทั้งคู่เต็มเปี่ยมด้วยความเหลืออดและโกรธเคือง

“ให้แต่แรกก็ไม่ใช่ว่าตาแก่จะเรียบร้อยแล้วหรือ ไม่ต้องกินคมกริชอันนี้” คนผู้นั้นหยิบกระเป๋าเงินไป ซ้ำยังเตะคนขับวัยกลางคนอีกครั้ง จึงค่อยส่งซิกให้อีกคนเดินมายังทางประตูเมือง

หลินซีนเยียนเห็นจนหัวใจแตกเป็นเสี่ยงๆ ทั่วหล้าปลอดโปร่ง ผืนจักรวาลสดใส ยังมีเรื่องราวกระทบกระทั่งฉกชิงวิ่งราวกันแบบนี้เกิดขึ้นอีกหรือ จวนผู้ว่าของแคว้นหมันนี้ต่างไม่แยแสเชียวหรือ นางโกรธจนเข็ดฟัน นึกอยากเดินไปทิศทางของคนขับวัยกลางคนนั้นโดยสัญชาตญาณ สาวออกเรือนคนหนึ่งด้านข้างกลับดึงนางเอาไว้ “น้องสาว เจ้ามาจากต่างถิ่นกระมัง อย่าไปแส่หาเรื่องเลย สองคนนั้นพวกเราแส่ไม่ได้หรอก เจ้าดูทหารเฝ้าประตูเมืองพวกนั้นสิ พวกเขาเองก็ไม่ใช่ว่าแสร้งทำเป็นมองไม่เห็นรึ”

หลินซีนเยียนมองไปทางประตูเมืองแวบหนึ่ง ก็เห็นว่าเหล่าทหารไม่กี่นายนั้นต่างไม่มองไปยังทิศทางนั้นสักนิด ในอกของนางยิ่งสุมเพลิงโทสะ “ขื่อแปของเมืองชวนก็เป็นเช่นนี้หรือ หากว่าเป็นแบบนี้ ใครจะมีชีวิตอยู่เมืองชวนต่อไปอย่างสงบใจกัน?”

“นี่เจ้าไม่รู้อะไรเสียแล้ว ขื่อแปเมืองชวนเข้มขวดที่สุดจากเมืองรอบด้านแล้ว ในยามปกติไม่มีคนกล้าแหกกฎ เพียงแต่สองคนนั้นกับคนสามัญไม่เหมือนกัน” สาวออกเรือนผู้นั้นทอดถอนใจเฮือกหนึ่ง

หลินซีนเยียนถึงแม้นึกอยากช่วยคนขับวัยกลางคนนั้น ทว่าก็ไม่ใช่คนอะไรบุ่มบ่าม ดังนั้นจึงสะกดลมเอ่ยถาม “คนสองนั้นเป็นใครกันแน่ ดูท่าไม่น่าใช่คนตระกูลชั้นสูง”

สาวออกเรือนคนนั้นส่ายหน้าถอนใจ “พวกเขาย่อมไม่ใช่คนตระกูลชั้นสูงแน่ล่ะ แต่ว่าน้องสาวพวกเขานับว่าเป็นคนชนชั้นสูง สองคนนั้นหนอ เป็นพี่น้องแท้ๆ เป็นอันธพาลท้องถิ่น แต่กลับมีน้องสาวคนหนึ่งที่รูปโฉมงามล่มเมือง น้องสาวแท้ๆ ของพวกเขาออกเรือนไปเป็นอนุสิบสองห้องของใต้เท้าผู้ว่า ไม่นานมานี้กำลังเป็นที่โปรดปราน ว่ากันว่ายังตั้งครรภ์แล้วด้วย ปัจจุบันใต้เท้าผู้ว่าพะเน้าพะนอนางยิ่ง คนในครอบครัวนาง ใครจะกล้าแตะต้อง”

ที่แท้เรื่องก็เป็นเช่นนี้นี่เอง นี่ก็คือคนไร้บารมีคนหนึ่งได้รับทางแห่งสุวานสู่สรวงสวรรค์ เป็นเพียงแค่สมาชิกครอบครัวของอนุคนหนึ่งเท่านั้น แต่ดันไร้ขื่อไร้หล้าถึงกระนี้เชียว ใต้เท้าผู้ว่าเองก็ไม่ใช่คนดีอะไรนักหรอก

“ใต้เท้าผู้ว่าของพวกท่านก็ไม่นับว่าเป็นผู้คุมที่ดีเท่าไร...” คำของหลินซีนเยียนยังเอ่ยไม่ทันจบ สาวออกเรือนข้างกายก็รีบอุดปากของนางเอาไว้

“ไม่ เจ้าผิดแล้ว ใต้เท้าผู้ว่าเพียงแค่ส่งเสริมระยะสั้นเท่านั้น เขาแค่ปกป้องคนและเรื่องที่เขาใส่ใจเท่านั้น กับเรื่องอื่นยังยุติธรรมอย่างยิ่ง นักลงทุนที่มาทำธุรกิจในเมืองชวน ไม่มีใครไม่ยกย่องเขา ขอเพียงแค่อย่าเคราะห์ร้ายจนไปวอแวคนและเรื่องที่เขาใส่ใจ เจ้าก็สามารถใช้ชีวิตอย่างสงบสุขที่เมืองชวนนี้ต่อไปได้แล้ว”

สาวใหญ่กล่าวถ้อยคำนี้จบ คนที่ฉกชิงคนขับวัยกลางคนทั้งสองนั้นก็เดินเข้ามาทางนี้ สาวใหญ่ลากหลินซีนเยียนถอยห่างไปข้างๆ จนกระทั่งหลังจากทั้งสองจากไป นางจึงคลายมือของหลินซีนเยียนออก

หลินซีนเยียนกำหมัดแน่น ไม่ได้ถลาตัวไปโต้วาทะกับสองคนนั้นราวกับเด็กตาดำไร้เดียงสาแต่อย่างไร นางเป็นเพียงหญิงสาวที่เรี่ยวแรงอย่างกับไก่อ่อน โถมปะทะต่อหน้ากับพวกเขานั้นดูเหมือนว่าชัยชนะสักนิดก็นับว่าไม่มี

ดังนั้นนางกัดกรามแน่น กลั้นลมหายใจเอาไว้ แต่กลับเร่งรุดมายังเบื้องหน้าของคนขับวัยกลางคนนั้น

คนขับวัยกลางคนภายนอกได้รับบาดเจ็บ เคราะห์ดีที่ไม่ได้เจ็บจนร้ายแรง ดังนั้นถึงแม้สถานการณ์จะเลวร้าย แต่สภาพจิตใจยังแจ่มแจ้งนัก

“ยังสามารถลุกขึ้นยืนได้หรือไม่” หลินซีนเยียนล้วงผ้าเช็ดหน้าออกมากดทับปากแผลของเขาเอาไว้ อีกมือหนึ่งก็ประคองเขาอย่างระมัดระวัง

ชายวัยกลางคนฝืนพยักหน้า ภายใต้การประคับประคองของนางจึงเข้ามาหายาจินช่วงขวดหนึ่งภายในรถม้าเพื่อประคบบนปากแผล ทว่าแววตากลับสูญสิ้นทอประกาย เขาทอดถอนใจไม่หยุด ชายวัยกลางคนอายุราวสี่สิบปีคนหนึ่ง ดวงตาแดงก่ำแทบจะร้องไห้ออกมา

“ข้าเป็นแค่คนไร้ประโยชน์คนหนึ่ง ยังไม่สู้ให้พวกเขาฆ่าทิ้งเสียดีกว่า ตอนนี้เงินก็ไม่มี กลับบ้านไปคนทั้งบ้านก้ทำได้เพียงรอจนหิวตายเท่านั้นแหละ” ชายวัยกลางคนซัดหมัดบนรถม้าอย่างหัวเสีย ปากแผลปริแตก บริเวณปากแผลก็ยิ่งหลั่งโลหิตสดออกมาอีก

หลินซีนเยียนไม่ได้กล่าวอะไร ทำเพียงล้วงตั๋วเงินใบหนึ่งออกจากอกเสื้อแล้วยัดใส่มือของเขา “ปัญหาที่สามารถใช้เงินแก้ไขได้ ต่างก็ไม่ใช่ปัญหา อะไรก็ไม่สำคัญไปกว่าการมีชีวิตอยู่ต่อ”

ชายวัยกลางคนมองตั๋วเงินจำนวนห้าสิบตำลึงในมือ ดวงตาทั้งคู่กลับยิ่งแดงก่ำขึ้น “แม่นาง ท่านยังเป็น...ไม่ได้ ไม่ได้ ข้าจะเอาเงินของท่านได้อย่างไร นี่ก็ไม่ใช่จำนวนเพียงเล็กน้อย! ไม่ได้ ต่อให้ข้าจนกว่านี้ ก็ไม่ให้ยากจนแม้กระทั่งคุณธรรมก็ยังไม่มีหรอก...”

“เอาล่ะ คุณธรรมนับเป็นอันใด เพื่อมีชีวิตต่อไป ทระนงตน คุณธรรม? เอามามีประโยชน์อะไร” หลินซีนเยียนส่ายหน้า กลัวว่าชายวัยกลางคนนั้นจะสิ้งหวังอีก เห็นว่าแผลของเขายังอยู่ในขอบเขตที่ตัวเขาเองสามารถจัดการได้ นางจึงหมุนกายเดินไปแล้ว

ชายวัยกลางคนยังนึกอยากกล่าวอะไร ทว่ามือที่ยังจับตั๋วเงินนั้นกลับค่อยๆ กำแน่น เขาก้มหน้างุด ในม่านตาทั้งคู่ยังมีแววโทสะกับความแค้นสักครึ่งส่วนเสียที่ใดกัน ที่มี ก็เพียงแต่แวววาววับเท่านั้น ได้ยินเพียงเสียงงึมงำที่สามารถได้ยินแค่เขาคนเดียวเท่านั้น “นี่ก็คือผู้หญิงที่เจ้านายให้ข้ามาปกป้องรึ น่าสนใจจริงๆ”

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ชายาสุดที่รักของท่านอ๋องอำมหิต