ชายาสุดที่รักของท่านอ๋องอำมหิต นิยาย บท 391

ตอนที่ 391 แลดูครื้นเครง

ส่วนในของเมืองชวน ที่แท้ก็ดูเหมือนสาวออกเรือนคนนั้นพูดไม่มีผิด ด้านในเมืองเป็นฉากภาพอันเฟื่องฟู ร้านรวงและเหล่าบรรดาพ่อค้าแม่ขายรายย่อยตามริมถนนเสมือนกับเพลิงลุกไหม้ ผู้คนสัญจรมาต่างก็ก้าวเดินเร่งรีบ ทุกๆ คนต่างเหมือนกำลังง่วนทำธุระส่วนตัวอย่างขมักเขม้น

หลินซีนเยียนหาเรือนพักแขกหนึ่งแห่งเพื่อปักหลักเป็นอันดับแรก สหายในร้านราวกับเห็นคนมาจากต่างแดนเช่นนางมากมายคณานับแล้ว ดังนั้นจึงไม่ได้แสดงความพิศวงออกมาแม้แต่น้อย สีหน้าเป็นกันเอง ไร้ซึ่งการเลือกปฏิบัติและกีดกันแม้สักนิด

เด็กรับใช้พาหลินซีนเยียนมายังห้องๆ หนึ่งบนชั้นสอง หลินซีนเยียนหยิบแผ่นทองแดงสองสามแผ่นให้แก่เด็กรับใช้ที่นำทางมา เด็กรับใช้ขอบคุณติดต่อกัน อากัปกิริยาก็ดูสุภาพมากขึ้นบ้าง

“ใช่แล้ว พี่ชาย ขอถามว่าในเมืองนี้มีถนนที่ขายยาสมุนไพรโดยเฉพาะหรือไม่” หลินซีนเยียนเรียกเด็กรับใช้ที่กำลังจะจากไปเอาไว้

เด็กรับใช้ในร้านได้รับเงินรางวัลแล้ว ตอบคำถามก็ดูกระตือรือร้นขึ้นมาก “มีสิ อันอื่นไม่พูด เอาแค่กลางเมืองโดยรอบ ก็มีย่านขายยาสมุนไพรเลื่องชื่อที่สุดในเมืองชวน อยู่แคว้นหมัน โดยปกติแล้วท่านเรียกหายาที่ขึ้นชื่อได้ ต่างก็หาเจอในย่านนั้นหมดเลยขอรับ”

“รึ?” ดวงตาของหลินซีนเยียนเป็นประกายขึ้นมาในชั่วขณะนั้น หากว่าเป็นอย่างนี้ล่ะก็ โอกาสที่พวกอี้เซิงจะมาที่แห่งนี้ก็ยิ่งเพิ่มมากขึ้นแล้ว “ย่านยาสมุนไพรนั้นไปทิศทางไหน ข้าอยากจะไปเดินดูสักหน่อย”

“ไม่ไกล ไม่ไกล ท่านออกจากเรือนพักแขกนี้ไปทางขวาแล้วเดินตรงไป มองเห็นซุ้มประตูแล้วเดินเลี้ยวตามซุ้มประตูเข้าไปก็ถึงแล้ว” เด็กรับใช้ในร้านรีบตอบคำทันควัน

หลินซีนเยียนกล่าวขอบคุณ เด็กรับใช้คนนั้นจึงจากไป

การรุดรีบหลายวันติดกันมานี้ ได้ทำให้กายใจของนางหมดแรง ทว่าเมื่อนึกถึงอี้เซิงว่าตอนนี้กำลังตกอยู่ในสถานการณ์อันน่าเป็นกังวล นางกลับไม่นึกอยากหน่วงเวลาเลยสักน้อย ดังนั้นหลังจากชำระร่างกายอย่างง่ายแล้ว นางจึงออกจากเรือนพักแขก

นางเดินตรงไปตามถนนสายยาว เพิ่งเดินได้สักพักก็ได้ยินคนด้านหน้าเสียงดังโหวกเหวกขึ้น ในอกของนางเร่งรีบ ดังนั้นยิ่งไม่ชื่นชอบดูเรื่องครึกครื้น กำลังเตรียมจะเดินเลี่ยงออกจากบริเวณชุมนุมฝูงชน ทว่าเพิ่งเดินเพียงก้าวเดียว กลับถูกคนข้างหลังผลักให้เดินไปด้านหน้าเสียอย่างนั้น

ไม่ว่ายุคโบราณหรือยุคปัจจุบัน ล้วนไม่อาจประมาทพลังของฝูงชนกินแตนได้ หลินซีนเยียนรูปร่างผอมบางนี้ก็ถูกดันไปข้างนิดเดียวแต่กลับถลาไปด้านหน้าแล้ว

ภายต้าสถานการณ์ที่ฝูงชนมากมายเพียงนี้ หากว่านางล้มลง มันเป็นเรื่องง่ายมากที่จะถูกเหยียบทับ ดังนั้นนางจึงเบ่งร้องแตกตื่นออกมาโดยสัญชาตญาณ

นางคิดว่าไม่อาจหลบเลี่ยงภยันตรายได้แล้ว แต่ไม่ยักรู้ว่ามือใหญ่ข้างหนึ่งมาจากไหนที่ช่วยดึงร่างท่อนล่างของนางเอาไว้ ฝ่ามือนั้นใช้เรี่ยวแรงเดียวดันให้นางค่อยๆ ไปทางหน้า นางจึงค่อยพยุงหยัดท่าทางการย่างก้าวได้อย่างมั่นคง

นางฉงนใจ มองไปตามคนรอบทิศ ทว่าคนพวกนั้นแต่ละคนต่างดุดัน ไม่ได้มีปฏิกิริยาที่ช่วยเอาไว้เลยสักนิด นางหาคนที่ช่วยนางก่อนหน้าไม่พบ และไม่ได้อยากคิดมาก อย่างไรเสียมีคนบางกลุ่มที่ทำเรื่องดีงามแล้วแต่ไม่นิยมให้คนทั่วไปได้รับรู้

เมื่อนางเรียกสติกลับมา จึงค้นพบว่าตัวนางได้ถูกบีบลงสู่ศูนย์กลางของความโกลาหล ถูกฝูงชนห้อมล้อมโดยอัตโนมัติบนพื้นที่โล่งความกว้างยาวสามจ้าง ยายอายุราวหกสิบดึงเด็กหญิงอายุสิบสองสิบสามปีคุกเข่าลงยังเบื้องหน้าของรถม้าคนหนึ่ง

ได้ยินเพียงยายแก่คนนั้นกล่าวเสียงระส่ำ “ใต้เท้าผู้ว่า ท่านยอมรับเฟิ่งเอ๋อร์เถิด เงินอุปถัมภ์ของเด็กคนนั้นท่านเป็นคนออก บ้านของเราไม่เหลืออะไรแล้ว จะมีก็แต่สาวพรหมจรรย์ไม่กี่นางแล้ว เฟิ่งเอ๋อร์ผู้นี้เติบโตอย่างใสบริสุทธิ์ที่สุดแล้ว พวกเราทำได้เพียงใช้นางเพื่อตอบแทนพระคุณของใต้เท้าผู้ว่าแล้ว”

หลินซีนเยียนไม่ได้คาดคิด ที่แท้กลุ่มคนมุงดูอยู่ก็คือความครึกครื้นอันนี้ ได้ยินน้ำคำของคุณยายคนนั้นแล้ว ในอกนางก็เคืองขุ่นอยู่บ้าง วิธีการของยายท่านนี้ทำให้นางไม่เห็นด้วยเป็นอย่างยิ่ง ก็ต่อให้ใต้เท้าผู้ว่าเคยสงเคราะห์ครอบครัวนาง นางเองก็ไม่อาจไม่แยแสความสุขของหลานสาวของตนเองเลยสักนิด เอาหลานสาวของตนเองส่งออกไปประหนึ่งเหมือนของกำนัลก็ไม่ปาน

“ใต้เท้าผู้ว่าพูดแล้ว ไม่ได้ร้องขอให้พวกเจ้าตอบแทนอันใดเลย อีกอย่าง ในเรือนของใต้เท้าผู้ว่าก็ไม่ได้ขาดแม่นางสะคราญโฉม เจ้าเอาตัวเด็กคนนี้กลับไปเสีย” ที่นั่งบังคับบนหน้ารถม้าเป็นบ่าวอายุยี่สิบกว่าปี สองด้านข้างของรถม้ายังมีองครักษ์บึกบึนจำนวนกว่าสิบนายยืนขนาบอยู่ และพวกเขาก็จับตามองฝูงชนรอบด้านเอาไว้

ยายแก่กลับไม่มีท่าทีจะลุกขึ้นเลยสักนิด ผงกหัวหลายครั้งก่อนจะโขกลงบนพื้น และกล่าวต่อไป “ยายแก่รู้ว่าในเรือนใต้เท้าผู้ว่ามีแม่นางสะคราญโฉมมากมาย แต่ว่า ยายแก่อย่างข้าไม่ใช่คนที่ติดหนี้ใครแล้วไม่คืน เด็กคนนี้หากว่าไม่ได้รับการโปรดปรานจากใต้เท้าผู้ว่า เช่นนั้นก็รับนางเป็นเด็กรับใช้ก็ยังดีนะเจ้าคะ”

“ยายแก่อย่างเจ้า ช่างพูดไม่รู้ฟังจริงๆ พูดไปหมดแล้ว ใต้เท้าผู้ว่าของข้าไม่ต้องการหลานสาวของเจ้า!” บ่าวหนุ่มคนนั้นขุ่นเล็กน้อย และก็ไม่มีความอดกลั้น เห็นว่ายายแก่คนนั้นไม่ฟังคำเตือน ก็บันดาลโทสะขึ้น

“หากใต้เท้าผู้ว่าไม่ต้องการล่ะก็ เด็กนี่มีชีวิตต่อไปก็สิ้นเปลืองเสบียงอาหารในบ้านของเราเปล่าๆ ไม่สู้ให้นางคุกเข่าจนตายอยู่ที่นี่เสียดีกว่า ครอบครัวของเราจนเสียแทบไม่ได้กินข้าวแล้ว เด็กๆ ล้วนกินไม่อิ่ม จะมีเสบียงให้เด็กคนนี้กินเสียที่ไหนกันเล่า” ตอนที่ยายแก่พูด ก็ตบเข้าที่บนท้ายทอยของเด็กคนนั้น กล่าวอย่างโมโห “เจ้าเด็กคนนี้ ถ้าจะโทษก็โทษที่ชะตาไม่ดีเถิด”

ล้วนพูดว่าแก่แล้วเหมือนเด็ก ยิ่งแก่ยิ่งเด็ก คนผู้นี้ยิ่งแก่ ทำเรื่องกลับเหมือนเด็กน้อยคนนี้ ถึงแม้ว่าการเคลื่อนไหวของยายแก่คนนั้นจะเหมือนเด็กคนหนึ่ง ยามที่นางเอ่ยคำออกมานั้น กลับยิ่งทำให้หลินซีนเยียนรู้สึกไร้ยางอายขึ้นมา

ได้ยินความหมายของยายแก่ผู้นี้แล้ว เห็นได้ชัดว่าชะตาของหลานสาวไม่มีค่าเท่ากับหลานชาย ดังนั้นจึงต้องการให้หลานชายกินอิ่ม ถึงจะมีอาหารให้เด็กหญิงคนนี้กิน ทรรศนะปิตาธิปไตยที่แสนรุนแรงเช่นนี้ ได้ปรากฏบนเรือนกายของยายเฒ่าผู้นี้อย่างชัดเจนแจ่มแจ้ง

“โอ้ย ยายแก่คนนี้เลี้ยงหลานสาวตัวเองไม่ไหว นึกอยากยกหลานสาวให้ใต้เท้าผู้ว่ารึ”

“เจ้าดู ธาตุแท้ได้เผยออกมาแล้ว ยังอ้างว่าเพื่อตอบแทนบุญคุณอะไรอีก คนๆ นี้หนอ...”

“ใต้เท้าผู้ว่าช่วยครอบครัวนางอย่างประสงค์ดี นางกลับสวมรอยเข้าให้ ช่างไร้ยางอายเสียจริง”

ในกลุ่มคน พลันมีการอภิปรายเกิดขึ้น เสียงวิพากษ์วิจารณ์ทำให้หญิงชราคนนั้นหน้าแดงขึ้นมา ทว่ากลับไม่ได้มีท่าทีลดละ แต่กลับโขลกหัวอย่างคลุ้มคลั่งขึ้นมา “ใต้เท้าผู้ว่า ถึงแม้ยายแก่อย่างข้าจะเป็นคนหยาบคนหนึ่ง แต่ก็เป็นคนรู้จักครรลองประเพณีอยู่บ้าง หากมิใช่ว่าในบ้านยังชีพต่อไม่ไหวจริงๆ ใครจะทำใจผลักไสหลานสาวของตนเองได้ลงคอ ใต้เท้าผู้ว่า ท่านพิจดูรูปร่างของเด็กคนนี้เถิด ท่านดูเสียหน่อย หากว่าท่านต้องตาก็รับไปทำนางบำเรอ ไม่ต้องตาก็ให้นางเป็นเด็กรับใช้ยังได้เลย ขอเพียงได้กินข้าวสักคำ ท่านก็ได้ทำเรื่องดีงามอย่างยิ่งแล้ว คุณธรรมไร้ที่สุดเชียว”

เด็กสาวคนนั้นก้มหน้างุดตั้งแต่เริ่มจนจบ ไม่ได้เปล่งเสียงแต่อย่างใด ต่อให้ตอนที่ยายแก่ตะเบ็งร่ำไห้ นางยังเสมือนว่าไร้ความรู้สึกใดๆ ทำเพียงคุกเข่าอย่างสงบเท่านั้น ดังนั้นฝูงชนต่างก็ไม่ได้มองเห็นท่าทางของนางว่าสรุปแล้วเป็นอย่างไรกันแน่

หลังจากที่ยายแก่คนนั้นร้องไห้เสร็จแล้ว จึงจับคางของเด็กสาวคนนั้นไว้ เชยเอาใบหน้าของเด็กสาวขึ้นมาหันไปยังทิศทางตรงข้ามกับรถม้า ราวกับนึกอยากให้คนในรถม้าเห็นรูปร่างของนางได้ชัดเจน

เมื่อใบหน้าของเด็กสาวเงยขึ้น เสียงทอดถอนใจจากบุคคลรอบด้านก็ปรากฏขึ้นเป็นระลอก บางที ผู้ใดก็ไม่อาจคาดคิด เด็กสาวอายุสิบสองสิบสามคนหนึ่ง จะสามารถเติบโตได้งดงามเพียงนี้

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ชายาสุดที่รักของท่านอ๋องอำมหิต