ตอนที่ 41 มาทำการแลกเปลี่ยนกัน
“ได้ รบกวนน้องเหลามู่เหอนำทาง” หลินซินเยียนตอบกลับ ประสานมือย่อคำนับเขา
มู่เหอตกใจ นางรู้ชื่อแซ่ของเขา? เมื่อพินิจอย่างถี่ถ้วน ดูเหมือนว่าเธอเพิ่งจะได้ยินบทสนทนาจากกลุ่มสาวใช้ได้อย่างชัดเจน ได้ยินคำพูดเหล่านั้นแล้วยังไม่เปลี่ยนท่าที นับว่าสมาธิไม่เลว
“แม่นางหลินเกรงใจไปแล้ว ข้าเป็นคนใกล้ชิดของท่านอ๋อง ท่านไม่ต้องยกย่องข้าเป็นน้องชายหรอก เรียกข้าว่ามู่เหอก็พอ มู่เหอถือตะเกียงไฟนำทางไปยังด้านหน้า
หลินซินเยียนเองก็ไม่ได้เกรงใจอะไรนัก หลังจากที่แค่ตอบรับคำก็ไม่ได้พูดอะไรอีก เธอเดินตามหลังมู่เหอ ใช้เวลาราวจิบชาหนึ่งถ้วยก็มาถึงลานภายในจวนที่เห็นได้ชัดว่าหรูหราเกินกว่าเหตุ
กระเบื้องทุกแผ่นภายในลานเห็นได้ชัดว่าผ่านการขัดเงามาเป็นอย่างดี ระหว่างที่เดิน คาดไม่ถึงว่าจะไม่ได้กลิ่นไอดินแม้เพียงสักนิด แต่ทำไมภายในลานของจวนกลับปลูกพืชดอกหายากเอาไว้มาก
“แม่นางโปรดระวัง ดอกไม้ริมที่เท้าท่านนั้นถึงแม้จะสวยงาม แต่ทว่ากลับมีพิษไม่สามารถสัมผัสโดนได้โดยเด็ดขาด” มู่เหอกล่าวเตือนในขณะที่ยืนอยู่บนขั้นบันไดหน้าประตู
หลินซินเยียนตกตะลึง จึงได้ชักเท้ากลับก่อนที่จะย่างก้าวผิดที่ผิดทาง “ท่านอ๋องของพวกท่านไม่มีอะไรทำหรือจึงได้มาปลูก ดอกไม้มีพิษพวกนี้?”
“ก็เพราะว่ามันสวยดีขอรับ” มู่เหอหัวเราะด้วยความใสซื่อ “ท่านอ๋องกล่าวไว้ว่า สิ่งที่ยิ่งอันตรายก็ยิ่งงดงาม ท่านอ๋องแต่ไหนมาก็มิเคยเกรงกลัวอันตราย ดังนั้นจึงมักจะชอบสะสมของงดงามเหล่านี้ไว้ภายในจวน ไม่ว่าจะเป็นดอกไม้สวย สัตว์ป่างาม หรือแม้กระทั่งคนรูปงาม ขอเพียงแค่ท่านอ๋องสนใจ ก็จะเก็บไว้ในจวนแห่งนี้ขอรับ”
“ช่างเป็นงานอดิเรกที่พิเศษจริงๆ” มุมปากกระตุกหลินซินเยียนและมิได้พูดอันใดอีก
หลังจากเข้ามาภายในลานบ้าน บังเอิญเห็นโคมวังหลวงที่กำลังระยิบระยับ แต่งเติมสีสันในคืนค่ำยามราตรี ภายในโลกที่ไร้หลอดไฟนีออน นี่คือสิ่งที่มีอยู่ทั่วทุกหนแห่ง ภาพวาดที่ประกอบขึ้นเป็นโคม เกรงว่าจะสามารถพบได้เฉพาะในตระกูลที่มีชื่อเสียงโด่งดังมากเท่านั้น
“แม่นางหลิน ท่านอ๋องอยู่ข้างในห้อง เชิญ” มู่เหอหยุดยืนอยู่หน้าประตูประมาณสิบจั้ง ไม่ได้เข้าไปใกล้เกินมากกว่านี้
หลินซินหยานพยักศีรษะ จึงค่อยเดินไปทีละก้าวแล้วเปิดประตูออกมองไปยังผืนฟูกที่ริมหน้าต่าง โม่จื่อเฟิงกำลังนอนงอข้อศอกอย่างเกียจคร้าน เขากำลังหลับตาราวกับว่ากำลังงีบหลับ
หลินซินเยียนเข้าไปภายในห้องแล้วหันหลังกลับมาปิดประตู นางเห็นว่าที่ฟูกข้างเตียงมีเสื้อคลุม ด้วยไหวพริบจึงหยิบเสื้อคลุมขึ้นมาและนำมาห่มร่างของโม่จื่อเฟิงอย่างอ่อนโยน
“นึกไม่ถึงว่าเจ้าช่างเอาใจใส่” โม่จื่อเฟิงลืมตาขึ้นกะทันหัน ดวงตามองนางด้วยความลุ่มลึก
“แต่มิใช่เพื่อการประจบนายท่านเพคะ” มุมปากหลินซินหยานยกยิ้ม แต่ทว่าเกรงจะยิ้มไม่ถึงดวงตา
โม่จื่อเฟิงยิ้มโดยไม่ปริปากพูด “เพิ่งไม่เจอกันสักพัก คาดไม่ถึงที่รู้ว่าข้าเป็นนายท่านเสียแล้ว ดูเหมือนว่าวิธีในการฝึกสอนของกุ้ยหมัวมัวนั้นไม่เลวเลยจริงๆ”
ที่แท้ เขารู้ว่ากุ้ยหมัวมัวเป็นผู้ฝึกสอนคนใหม่ทุกคนที่เข้าจวนอ๋อง แต่เขาก็ยังส่งนางออกไป
ภายในห้องนั้นไม่มีลมพัดเข้ามาอย่างแน่นอน ทว่าหลินซินหยานกลับรู้สึกเย็นยะเยือกขึ้นมาอย่างกะทันหัน อดไม่ได้ที่จะตัวสั่นด้วยความหนาวเย็น อยากจะสนทนาดีๆกับโม่จื่อเฟิง แต่อย่างไรกลับไม่สามารถแสดงใบหน้ายิ้มแย้มออกมาได้
“ท่านอ๋องจะให้กุ้ยหมัวมัวมาฝึกสอนข้าหรือเพคะ?” ในที่สุดหลินซินเยียนก็ได้เอ่ยปากถามออกไป
โม่จื่อเฟิงตอบกลับด้วยเสียงอันเบา “ก็ขึ้นอยู่กับเจ้าคุ้มค่าพอที่จะให้ข้าสั่งคนไปฝึกสอนหรือไม่?”
หลินซินเยียนนิ่งเงียบ โม่จื่อเฟิงจึงกล่าวขึ้นอีกครั้ง “กุ้ยหมัวมัวเป็นคนเก่าคนแก่ที่เคยปรนนิบัติรับใช้หมู่เฟยของข้า (มารดาตำแหน่งสนม) ดังนั้นเป็นการดีที่สุดที่เจ้าจะตั้งใจเชื่อฟังและอย่าได้ยั่วยุนาง”
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ชายาสุดที่รักของท่านอ๋องอำมหิต
นางเอกเป็นพวกชอบความเจ็บปวด อ่านแล้วเหนื่อย เหมือนเราเห็นชีวิตคู่ผัวซ้อมเมีย แล้วอยากจะช่วยให้เค้าออกมา ผู้หญิงบอกไม่ต้อง เค้าถูกจริตแบบนี้ สงสารน้องชาย ช่วยมาก็จริง ทุกคืนต้องมานอนฟังอีผัวเมียคู่นี้มันทำร้ายกัน ป่วยจิตสุดๆ...
ทำไมนางเอกไม่คิดประกิษฐ์อาวุธไว้ป้องกันตัวเลยสักที เจอเหตุร้ายตลอดแต่ไม่เคยคิดปกป้องตัวเอง แล้วบอกว่าเป็นนักสร้างอาวุธนี่นะ...