ตอนที่ 66 เพราะเธอเป็นของเล่นของข้า
เป็นเพียงบุคคลที่มีอยู่แค่ในตำนานของคนทั่วไปเท่านั้น ไม่นึกว่าจะปรากฏตัวขึ้นที่ด้านหน้าของพวกเขาจริงๆด้วย?
ฝูงชนต่างตกตะลึง ทันทีที่ได้สติกลับมาคือความหวาดกลัวไม่มีที่สิ้นสุด แม้กระทั่งบุคคลอย่างฮูเหยียนหลิวหยุนก็ไม่กล้าที่จะยั่วยุ พวกเขาเป็นแค่ลูกหลานของข้าราชสำนักสกุลใหญ่ทั่วๆไป ไหนเลยจะกล้าเกิดความขัดแย้งกับพระพุทธรูปอันใหญ่โต (เปรียบเป็นผู้มีอำนาจเหนือล้น) สองผู้ที่ขี้ขลาดนึกอยากจะวิ่งหนีหันหลังกลับ
เมื่อฮูเหยียนหลิวหยุนได้เห็น ก็มองพวกเขาด้วยสายตาหยามเหยียด แต่ทว่าเมื่อเทียบความการสูญเสียความน่าเชื่อถือจากฮูเหยียนหลิวหยุนแล้วจึงได้พบว่าชีวิตของตนและผลประโยชน์แห่งสกุลของตนต่างหากที่สำคัญยิ่งกว่า
“ขออภัยด้วยหลิวหยุน ข้านึกขึ้นมาได้ว่าบิดาของข้ากำลังรอข้ากลับไปทบทวนหนังสือ ข้า..ข้าไปก่อนล่ะ”
“ข้า...ข้าก็เหมือนกัน ข้าลืมว่าวันนี้เป็นวันเกิดของมารดาข้า”
แต่ละคนได้หาข้ออ้างแก้ต่างให้กับตนเอง อธิบายแก่ฮูเหยียนหลิวหยุนไปมั่วๆเสร็จก็วิ่งหนีหายไป มีเพียงอู่ฉือยังยืนอย่างโง่งมอยู่ที่ตรงนั้นไม่จากเขาไปไหน
ความเป็นจริงก็คือความโหดร้าย ก่อนหน้านี้ฮูเหยียนหลิวหยุนยังถูกห้อมล้อมไปด้วยพรรคพวกดั่งเช่นดาวล้อมเดือน ทว่าในชั่วพริบตาที่หันหลังก็ทรยศหักหลัง เช่นนี้จึงเรียกได้ว่ากงกรรมกงเกวียน
หลินซินเยียนดูเหมือนเศร้าใจอยู่เล็กน้อย แต่ก็ยังรู้สึกว่าการปล่อยให้คนเหล่านั้นหนีไปก็น่าเสียดายอยู่บ้าง เมื่อได้ฟังความนัยในคำพูดของคุณชายเหล่านั้น สตรีที่เคยถูกย่ำยีคงไม่ใช่น้อย เรื่องเลวร้ายที่เคยได้กระทำก็คงกองเป็นพะเนินเทินทึก
เพียงแต่ นางมองโม่จื่อเฟิง คนผู้นี้ไม่ใช่ทั้งผู้ช่วยชีวิตและไม่ใช่ทั้งผู้พิพากษา จะคาดหวังให้เขาลงโทษความชั่วร้ายงั้นหรือ? ดูเหมือนไม่น่าจะเป็นไปได้นะ
ฮูเหยียนหลิวหยุนเห็นอู่ฉือที่ยังไม่ไปไหน ก็คำรามใส่ด้วยความโกรธ “ทำไมเจ้าจึงไม่ไป? ไม่กลัวว่าข้าจะพ่วงเจ้าไปด้วยหรือ?”
อู่ฉือพลางส่ายศีรษะตอบ “เป็นพี่เป็นน้อง มีทุกข์ย่อมร่วมต้าน” เขาหันไปหาโม่จื่อเฟิง ประสานมือคารวะกล่าว “หวังว่าท่านอ๋องจะทรงอภัยโทษ ด้วยความสัตย์จริงพวกข้าไม่ทราบว่าแม่นางผู้นี้คือสตรีของท่าน หากได้ทราบก่อนหน้านี้พวกเราล้วนมิกล้าที่จะดูหมิ่นนางตามใจชอบอย่างแน่นอน
หากไม่ใช่ว่าก่อนหน้านี้เคยเห็นสีหน้าอู่ฉือมาก่อน แม้แต่หลินซินเยียนก็รู้สึกว่าการที่อู่ฉือที่เสนอตัวขึ้นมาในยามนี้และยังกล่าวถ้อยคำเหล่านี้ ดูเหมือนว่ากลับมีความกล้าหาญอยู่บ้าง
ดังนั้นนางจึงยืนปากเบะใส่กับพฤติกรรมอัปยศของสุภาพบุรุษประเภทนี้ ทว่านางรั้งแขนเสื้อของโม่จื่อเฟิงอย่างเงียบๆ ท่านอ๋อง หม่อมฉันคิดว่าคุณชายเหล่านี้คงมิได้เจตนา เช่นนั้นก็นับว่าแล้วกันไปเถิดเพคะ จะดีชั่วอย่างไรพวกเขาก็เป็นบุตรชายคนเดียวของฮูเหยียนอ๋อง อีกผู้หนึ่งก็ทายาทสายตรงของอู่หนิงโหว สร้างปัญหาถึงพวกเขาก็เท่ากับล่วงเกินคนเพคะ”
“อ้อ งั้นหรือ? โม่จื่อเฟิงเหล่สายตามองนาง “เจ้าจะให้ข้าปล่อยพวกเขา?”
หลินซินเยียนพยักศีรษะ ดูเหมือกำลังเห็นด้วยอย่างจริงจัง
โม่จื่อเฟิงกลับหัวเราะขึ้นมาทันที เขายื่นมือไปบีบคางของนาง ในดวงตาทั้งคู่ลึกลับราวกับน้ำแข็ง ข้าไม่เคยเตือนเจ้าหรือว่าอย่าใช้อุบายเช่นนี้ต่อหน้าข้า! สิ้นเปลืองแรงมากขนาดนี้ มิใช่ว่าเจ้าคิดจะยืมมือข้าจัดการคนพวกนี้หรอกหรือ? แล้วอย่างไร ตอนนี้จะให้ข้าปล่อยพวกเขาไป?
หลินซินเยียนตกใจพลันเบิกตาค้างมองโม่จื่อเฟิงที่อยู่ตรงหน้า นางยังดูแคลนเขาเกินไป ที่แท้เขานั้นดูออกตั้งแต่แรกแล้ว!
ก็อย่างว่า ถ้าหากถูกคำพูดของคนใช้ประโยชน์ได้ง่ายๆเช่นนั้น โม่จื่อเฟิงก็คงไม่ใช่อู่เซวียนอ๋องผู้มีชื่อเสียงร่ำลือแล้วล่ะ
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ชายาสุดที่รักของท่านอ๋องอำมหิต
นางเอกเป็นพวกชอบความเจ็บปวด อ่านแล้วเหนื่อย เหมือนเราเห็นชีวิตคู่ผัวซ้อมเมีย แล้วอยากจะช่วยให้เค้าออกมา ผู้หญิงบอกไม่ต้อง เค้าถูกจริตแบบนี้ สงสารน้องชาย ช่วยมาก็จริง ทุกคืนต้องมานอนฟังอีผัวเมียคู่นี้มันทำร้ายกัน ป่วยจิตสุดๆ...
ทำไมนางเอกไม่คิดประกิษฐ์อาวุธไว้ป้องกันตัวเลยสักที เจอเหตุร้ายตลอดแต่ไม่เคยคิดปกป้องตัวเอง แล้วบอกว่าเป็นนักสร้างอาวุธนี่นะ...