ชายาสุดที่รักของท่านอ๋องอำมหิต นิยาย บท 94

ตอนที่ 94 ไม่มีทางเป็นเพื่อนกันได้

หลินซินเยียนเดินเข้าไป บอกชายวัยกลางคนคนนั้นว่า “ท่านชายออกไปทำธุระ วันนี้ไม่อยู่บ้าน ท่านมีธุระอะไรกับท่านชายหรือ”

“ไม่อยู่บ้านหรือ แย่จัง” ใบหน้าของชายวัยกลางคนเต็มไปด้วยความสิ้นหวัง แล้วหยิบบัตรเชิญออกมาจากอกเสื้อ “ในเมื่อท่านชายไม่อยู่ งั้นข้าคงไม่รบกวน มีเพียงแค่การ์ดเชิญให้คุณชายอู๋เหิน อยากจะให้แม่นางมอบให้เขาแทนหน่อย เจ้าของบ้านของพวกเราสั่งมา วันนี้เป็นวันปีใหม่ ก็เลยเตรียมของขวัญไว้ให้ท่านอู๋เหิน โปรดรับไว้เถิด”

เขาพูดเช่นนี้หลินซินเยียนก็รู้เลยว่ากล่องที่อยู่ข้างกายเขาเป็นของที่จะมอบให้นาง

หลินซินเยียนกลับไม่ยื่นมือออกไปรับ “พี่ชายท่านนี้ เจ้าบ้านของท่านมีน้ำใจข้าไม่กล้ารับไว้หรอก คุณชายไม่อยู่ข้าจะกล้ารับไว้ได้อย่างไร ท่านอย่าทำให้ข้าลำบากใจเลย”

“แต่ว่าของชิ้นนี้ราคาไม่ได้แพงเลย แม่นางไม่ต้องเกรงใจ ถ้าข้าไม่มอบของชิ้นนี้ให้ผู้อื่น ข้าจะต้องโดนตำหนิแน่” ชายวัยกลางคนยื่นกล่องนั้นมาตรงหน้าจองหลินซินเยียนแล้วหมุนตัวเดินจากไป

เขาเดินไปเร็วมาก เพียงพริบตาเดียวก็เหลือไว้เพียงแค่กล่องเล็กๆนั้น หลินซินเยียนถอนหายใจ ทำได้แค่ให้เอ้อร์ยานำกล่องนั้นกลับไปด้วย

เมื่อเข้ามาถึงห้องโถง สาวใช้เปิดกล่องดู เมื่อเห็นทองแท่งเหลืองอร่ามอยู่ตรงหน้า จิตใจของนางก็ไม่อยู่กับเนื้อกับตัว “แม่นาง นี่คือทองแท่ง เขาบอกว่าเป็นของที่ไม่ได้มีราคาแพงมาก สงสัยเจ้านายของเขาคงจะมีเงินเยอะมาก”

ความตกตะลึงของเอ้อร์ยาทำให้หลินซินเยียนชำเลืองตามอง อี้เซิงก็เดินตามมาสมทบดูด้วย แล้วเขาก็สูดหายใจเข้าลึกๆ มีเพียงแค่หลินซินเยียนเท่านั้นขมวดคิ้วแน่นโดยไม่รู้ตัว คนแรกที่มาหานางก็เปิดตัวชัดเจนว่าเป็นคนร่ำรวย และคาดว่าจะต้องมีผลกระทบที่ใหญ่มาก ดูแล้ว คนรวยที่อยู่ในเมืองเฟิ่งซีนี้จะเป็นอาวุธที่ร้ายแรงมากกว่าที่นางเห็น

เมื่อมีคนให้ความสำคัญกับการสร้างอาวุธขนาดนี้ เป็นไปได้หรือไม่ว่าเมืองเฟิ่งซีกำลังมีเรื่องใหญ่เกิดขึ้น

หลินซินเยียนรู้สึกไม่สบายใจนิดหน่อย นางเข้ามาพัวพันกับสถานการณ์ในปัจจุบันแล้ว ตอนนี้ความอันตรายนั้นก็ดูจะมากขึ้นด้วย

“แม่นาง ท่านกำลังคิดอะไรอยู่หรือ” เอ้อร์ยาเห็นนางนั่งนิ่งไม่ขยับ เลยอดไม่ได้ที่จะถามดู

หลินซินเยียนนได้สติกลับมา นางส่ายหัวแล้วยิ้ม แต่ก็ไม่ได้พูดอะไร แล้วก็ได้ยินเสียงเคาะประตูอีก

“นี่เป็นบ้านท่านชายอู๋เหินใช่หรือไม่” ชายหลังค่อมคนหนึ่งเดินเข้ามามองหาด้านใน

เอ้อร์ยาหันกลับไปมองหลินซินเยียน ผ่านไปแค่ครู่เดียวก็มีคนมาหาอีกแล้ว

เวลาของชายหลังค่อมคนนี้กับชายวัยกลางคนเมื่อกี้ต่างกันไม่มาก แล้วยังให้การ์ดเป็นของขวัญวันปีใหม่อีกด้วย

ครั้งนี้หลินซินเยียนไม่ได้แสดงสีหน้าอะไร นางเพียงให้เอ้อร์ยาส่งแขกกลับไป

เวลาสั้นๆในหนึ่งวันก็มีคนมาหานางถึงสี่ห้าคนแล้ว

เมื่อตกกลางคืน ของทั้งหมดที่หลินซินเยียนได้มาก็ถูกเก็บรวมไว้ในกล่อง พบว่าเป็นการ์ดเชิญสามใบจากขุนนางชั้นผู้ใหญ่ อีกสองใบเป็นของพ่อค้าร่ำรวยจากเมืองเฟิ่งซี

ขุนนางพวกนั้นไม่ใช่ขุนนางชั้นผู้ใหญ่ สูงที่สุดก็ไม่เกินขุนนางขั้นสี่ ข้าราชการพวกนี้ ตามหลักแล้วไม่น่าสนใจเรื่องอาวุธ การที่พวกเขาส่งการ์ดเชิญมาน่าจะมีผู้ที่บงการอยู่เบื้องหลัง

“แม่นาง คำเชิญพวกนี้ ท่านจะไปหรือไม่” เอ้อร์ยาเติมน้ำมันลงในตะเกียงทำให้ไฟสว่างขึ้นมานิดหน่อย

หลินซินเยียนส่ายหัว “สัตว์ปีที่ดีจะเลือกเกาะต้นไม้ สิ่งต้องห้ามก็คือการเหยียบเรือสองแคม ถ้าหากข้าไปตามคำเชิญทั้งหมดจะทำให้คนของข้าไม่สบายใจได้”

“เช่นนั้นท่านจะไปตามคำเชิญของบ้านไหน” เอ้อร์ยารู้สึกว่าเจ้านายของตนพูดจากเต็มไปด้วยหลักการ แต่ตนเองก็ยังเข้าใจได้แค่เพียงครึ่งหนึ่ง

หลินซินเยียนไม่พูดไม่จา เดินไปเปิดหน้าต่างรับลม ไม่ตอบคำถามใดๆ มีเพียงรอยยิ้มลุ่มลึก

เช้าวันที่สองบ้านตระกูลหลี่ก็เตรียมงานศพให้เหล่าหลี่ ชื่อเดิมของบุตรชายคนโตชื่อว่าหลี่หลง ตอนเช้าเขามาขอแรงคนจากบ้านหลินซินเยียน ท่านหลิวที่เดิมเป็นเพื่อนกับมู่เจียงที่อยู่ในเหตุการณ์เมื่อวานได้บอกเรื่องราวกับเพื่อนสนิทของมู่เจียง แต่เมื่อพวกเขาได้ยินว่ามีเรื่องกับคนที่มีอิทธิพลพวกเขาก็ไม่กล้ามาร่วมงานศพของเหล่าหลี่ กลัวว่าจะเป็นการหาเรื่องใส่ตัว

เหล่าหลี่ที่แต่เดิมเข้ามาอยู่ในเมืองเฟิ่งซีนี้ก็ไม่ได้รู้จักใครมาก เพื่อนมิตรที่ทำงานร่วมกันก็ไม่มาก งานศพของเขาเงียบเหงามากจนต้องมาขอคนจากบ้านหลินซินเยียนไปช่วย

หลินซินเยียนก็ไม่ได้ปฏิเสธ นางยังให้เอ้อร์ยาและอี้เซิงไปช่วยงานด้วย

ที่ห้องเซ่นไหว้ สะใภ้เหล่าหลี่ร้องไห้หลายครั้ง หลี่หลงและหู่เอ๋อก็คุกเข่าอยู่ที่หน้าโลงศพของเหล่าหลี่อย่างเศร้าใจ ที่จริงโลงศพต้องถูกเคลื่อนไปแล้ว แต่มีเพียงแค่หลี่หลงคนเดียวที่เป็นผู้ชาย เมื่อถึงเวลาตกฟาก เขาก็ค่อยๆแบกโลงศพของพ่อไปยังชานเมือง

หลินซินเยียนถอนใจ นางจูงอี้เซิงเดินไปอยู่ด้านหลังของหลี่หลง มองชายหนุ่มหัวรั้นกำลังแบกโลงศพของพ่อตัวเอง ทุกย่ำก้าวของเขานั้นต้องใช้แรงมากจนขาของเขาสั่นระริก

คนที่อยู่ชนชั้นล่างจะทำอะไรก็ลำบาก แต่คนรวยจะทำอะไร แค่ใช้เงินก้อนสองก้อนก็ทำได้แล้ว พวกเขากลับต้องใช้ความพยายามมากกว่าเป็นร้อยเท่า นางไม่มีเงินทองมากมายล้นฟ้าพอที่จะมาช่วยเหลือพวกเขา เรื่องของตระกูลหลี่นี้มีแค่หลี่หลงคนเดียวที่จะสามารถแบกรับเอาไว้ได้ นางช่วยได้แค่ช่วงเวลานี้แต่ไม่สามารถช่วยตระกูลหลี่ได้ตลอดไป

สุสานนอกเมืองหรือสุสานในเมืองหลวงก็คือสุสานเหมือนกัน ที่จริงสุสานในเมืองก็ไม่ได้สูงส่งไปกว่าสุสานที่ถูกฝังอยู่อย่างสะเปะสะปะเท่าใด ที่แห่งนี้ก็เป็นแค่ที่ที่ข้าราชการมอบให้คนที่ไม่มีเงินจะซื้อสุสานมาฝังศพเท่านั้น ที่แห่งนี้อยากจะขุดฝังตรงไหนก็ได้ตามใจ

หลี่หลงค่อยๆแบกโลงศพของพ่อเดินมา ถึงเวลาตกฟากถึงจะมาถึง เขาวางโลงศพลง ยังไม่ทันได้พักเขาก็ขุดหลุมต่อ หู่เอ๋อเช็ดน้ำมูกแล้วหยิบจอบเข้าไปช่วยพี่ขุดหลุม

เอ้อร์ยากับอี้เซิงก็ไม่ได้เป็นคนแล้งน้ำใจก็เลยเข้าไปช่วยด้วย ถึงแม้ว่าหลินซินเยียนจะร้องไห้แต่ก็เข้าไปนั่งใต้ต้นไม้เป็นเพื่อนสะใภ้เหล่าหลี่

“แม่นางหลิน ครั้งนี้ต้องขอบคุณท่านมาก ถ้าหากไม่ใช่ท่านพวกเราก็ไม่รู้จะทำอย่างไร” สะใภ้เหล่าหลี่ปาดน้ำตาแล้วพูดต่อว่า “แค่ต้นปีนี้ข้าก็มองได้ทะลุปรุโปร่งเลยว่า คนดีไม่จำเป็นต้องเป็นคนที่รับใช้ดี แม่นางหลินเป็นคนดี ดังนั้นข้า สะใภ้เหล่าหลี่ก็ไม่อยากจะสร้างปัญหาให้ท่านอีก หลังจากฝังศพท่านหลี่เสร็จ เรื่องของครอบครัวข้าท่านไม่ต้องเข้ามาช่วยแล้ว วุ่นวายเหลือเกิน ท่านที่เข้ามามีส่วนร่วมช่วยเหลือครอบครัวข้า ทั้งชีวิตก็ไม่อาจทดแทนได้”

“สะใภ้เหล่าหลี่ อย่าพูดเช่นนั้นเลย ถ้าหากมีปัญหาอะไรที่ต้องแก้ไข ท่านวางใจเถิดข้าเอาตัวรอดได้ ดังนั้นท่านไม่ต้องละอายใจเลย ขอเพียงแค่ข้ายังไม่ถอนตัวก็ยังมีโอกาสนะ” หลินซินเยียนพูดอย่างจริงใจ นางไม่มีความจำเป็นอะไรที่จะต้องหลอกพูดกับคนอื่นว่าไม่ต้องช่วยแล้ว พูดตามจริง ไม่ต้องแสดงคำพูดที่ไพเราะแต่อย่างน้อยก็ทำให้หัวใจของผู้อื่นมีจุดหมายปลายทาง

สะใภ้เหล่าหลี่ไม่คิดว่าจะได้ยินนางพูดเช่นนี้ น้ำตาของนางก็ไหลออกมาอีก กุมมือของหลินซินเยียนแล้วร้องไห้ออกมาอย่างเงียบเชียบ

วันนี้หิมะตกอีกแล้ว โดยปกติหน้าหนาวของเมืองเฟิ่งซีมักจะไม่ค่อยมีหิมะตก แต่ไม่รู้ทำไมปีนี้หนาวมาก คาดไม่ถึงว่าผ่านเทศกาลปีใหม่จะเข้าฤดูใบไม้ผลิแล้วยังมีหิมะตกอยู่

ในลมหิมะ หลินซินเยียนเห็นหลี่หลงฝังศพของพ่อแล้วกลบดิน เขาอยู่ในสุสานแล้ว แต่ที่น่าเศร้าคือไม่มีแม้แต่ป้ายหลุมศพ

นี่เป็นสภาพปกติของชีวิตที่เรียบง่ายที่สุด เอ้อร์ยากางร่มให้หลินซินเยียนกันลม เมื่อกลับออกมาก็ไม่มีใครหันกลับไปมองที่สุสานอีก

หลังจากฝังเหล่าหลี่ไว้ที่สุสานแล้ว หลี่หลงก็ทำตามคำแนะนำของหลินซินเยียน เขาสะกดรอยตามท่านชายอู๋

หลินซินเยียนกลับถึงบ้านก็เปลี่ยนชุดผู้ชายแล้วออกจากบ้านไป เอ้อร์ยาอยากจะตามไปด้วยแต่กลับถูกนางสั่งให้ไปดูแลสะใภ้เหล่าหลี่

ในเมืองเฟิ่งซีมีร้านน้ำชาชื่อดังร้านหนึ่งตั้งอยู่ที่ถนนฝั่งตะวันออก ภายในร้านมีชาราคาแพง แก้วหนึ่งนั้นมีราคาไม่เบา แต่จำนวนคนที่เข้ามาในร้านก็ยังคงเยอะเหมือนเดิม แต่ไม่ใช่เพราะว่าชาร้านนี้หอมกว่าชาร้านทั่วไป คนจำนวนมากมาที่ร้านนี้ไม่ได้มาเพื่อที่จะดื่มชา แต่มาเพื่อที่จะฟังเรื่องเล่า

ในร้านน้ำชานี้มีนักเล่าเรื่องคนหนึ่งชื่อ ท่านเฟิง เขาไม่ใช่นักเล่าเรื่องทั่วไป แต่ในเมืองเฟิ่งซีนี้เขาเป็นเหมือนผู้นำนักเล่าเรื่องของเมืองนี้ เขามีลูกศิษย์มาก ส่วนมากจะเข้ารับราชการในวัง แต่เขามีความชอบส่วนตัวคือการเล่าเรื่อง ทุกวันที่สิบห้าของเดือนเข้าจะมาเล่าเรื่องที่ร้านน้ำชานี้ เขาพูดเรื่องทุกเรื่องใต้ฟ้า ส่วนใหญ่จะเป็นเรื่องที่ไม่ได้หาฟังได้ทั่วไป

วันนี้แม้จะเป็นวันแรกของปี แต่ว่าท่านเฟิงนี้เมื่อถึงเวลาที่อยากจะเล่าก็ไม่มีอะไรมาขัดขวางเขาได้ ดังนั้นเมื่อท่านเฟิงมาถึงร้านน้ำชา ก็เห็นเขาเป็นคนแก่ที่มีหนวดขาวคนหนึ่งยืนอยู่บนเวที

ภายในร้านน้ำชาที่นั่งส่วนใหญ่แทบจะเต็มแล้ว หลินซินเยียนเดินหาตามมุมถึงจะได้ที่นั่งหนึ่งที่ โต๊ะหนึ่งมีเก้าอี้สี่ตัวแต่มีคนนั่งแล้วสามคน ส่วนใหญ่จะเป็นวัยรุ่นอายุราวๆยี่สิบปี ทำท่าขอเป็นพิธีแล้วนั่งลง สามคนที่เหลือก็พยักหน้าเบาๆเป็นการตอบรับ

“ตาเฒ่าคนนี้จะมาเล่าเรื่องอะไรให้พวกเราฟังเนี่ย” ผู้ชายใส่หมวกที่นั่งอยู่ซ้ายมือของหลินซินเยียนพูด รูปร่างท่าทางดูสง่างามแต่ทว่า แต่เวลาพูดนั้นหยิ่งยโสเหลือเกิน

เด็กผู้ชายที่นั่งอยู่ด้านขวามือของหลินซินเยียนที่ดูจะอายุเยอะกว่าเล็กน้อย พูดกับคนที่พูดก่อนหน้านี้มีรูปร่างหน้าตาคล้ายๆกันว่า “น้องเจ็ดเจ้าอย่าดูถูกตาเฒ่าคนนี้เลย เขาเล่าเรื่องได้ลื่นไหลยิ่งนัก ไม่เชื่อเจ้าถามพี่สามสิ”

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ชายาสุดที่รักของท่านอ๋องอำมหิต