เฉินจิ่งหยุ้นกับซูเหมียนรู้จักกันตอนที่เรียนอยู่ที่เมืองนอก ผ่านมาหลายปีแล้วไม่เคยทะเลาะกันเลยและถือว่าเป็นความรู้สึกจากใจจริง
ตอนนี้ทั้งสองคนอยู่ในเขตแดนระเบิดอารมณ์ใส่กัน ดังนั้นเวลาพูดจาออกมาเลยดูไม่น่าฟังเลย
เฉินจิ่งหยุ้นโมโหจนถึงขีดสุดจนหัวเราะเยาะกลับ “ตอนนี้แกกำลังโทษฉันอยู่ใช่ไหม?”
ซูเหมียนเม้มริมฝีปากเอาไว้ น้ำเสียงเริ่มเย็นชาบ้าง “ฉันเปล่า”
บรรยากาศอึมครึมไปถึงขั้นสูงสุด สถานการณ์ไม่สามารถควบคุมได้แล้ว บรรดาบ่าวไพร่พวกนั้นก็ไม่กล้าเข้าใกล้
เฉินจิ่งหยุ้นถูกเฉินถิงเซียวใส่อารมณ์มา ก็เลยรู้สึกว่าซูเหมียนชักสีหน้าใส่เธอ
เธอทำหน้าตาเศร้าสร้อยตอนที่มองมาทางซูเหมียน “ซูเหมียน สามปีนี้ฉันได้สร้างโอกาสให้แกมาไม่น้อย รวมทั้งการโกหกหลอกลวงเฉินถิงเซียว แต่ตัวแกเองกลับไร้ประโยชน์! มู่น่อนน่อนที่เพิ่งแต่งเข้าบ้านมาอยู่กับเขาได้ไม่นาน จนทำให้เขาหลงหัวปักหัวปำ แต่แกใช้เวลามาสามปี เขากลับไม่มีความรู้กับแกสักนิด ฉันแนะนำให้แกปล่อยวางไปเถอะ!”
ซูเหมียนเป็นคนที่เก่งแบบนี้มาตั้งแต่เด็ก แต่มาพลาดท่าให้เฉินถิงเซียวถึงที่ ตอนนี้ยังโดนเฉินจิ่งหยุ้น เอามาเปรียบเทียบกับคนที่แม้แต่เศษซากกระดูกถูกฝังอยู่ในทะเลยังไม่มีด้วยซ้ำ เธอจะอดกลั้นกับความโกรธนี้ได้อย่างไรกัน
“เฉินจิ่งหยุ้นคำพูดนี้แกอัดอั้นอยู่ในใจมานานมากแล้วใช่ไหม?” ซูเหมียนหัวเราะอย่างเย็นชาออกมา “แกไม่ต้องเป็นห่วงไป ฉันจะบอกเรื่องราวในอดีตของเฉินถิงเซียวให้เขารู้ดีหรือเปล่านะ?”
เฉินจิ่งหยุ้นได้ยินแล้ว รูม่านตาหดตัวลงทันที จากนั้นสีหน้าก็ปรากฏอาการถากถางกลับ “แกไม่ทำหรอก แกอย่าลืมนะ แกก็กำลังโกหกเขาอยู่เหมือนกัน ไม่ว่าจะพูดยังไงฉันก็เป็นพี่สาวแท้ๆ ของเขา แม้ว่าเขาจะจำเรื่องราวในอดีตได้ แกว่าเขาจะมาหาเรื่องฉันก่อน หรือว่าจะไปหาแกก่อนดีนะ?”
“แก...”
“หนักแน่นหน่อย อย่าเพิ่งระเบิดอารมณ์เกินเหตุ พวกเราเป็นเพื่อนกันมาตั้งหลายปี ต่างรู้ใจซึ่งกันและกัน ตอนนี้ก็เหมือนยืนอยู่ปากเหวด้วยกัน เราไม่สามารถเกิดข้อขัดแย้งภายในได้ แกพูดว่าใช่ไหม?”
สักพัก ซูเหมียนก็ตอบรับกลับมา “ใช่”
……
เฉินถิงเซียวพาเฉินมู่มาที่โรงแรมจีนติ่ง
สามปีนี้เฉินจิ่งหยุ้นไม่อนุญาตให้เขาไปมาหาสู่กับกู้จือหยั่น และไม่อนุญาตให้เขามาใช้จ่ายเงินที่โรงแรมจีนติ่งของกู้จือหยั่น
ไม่ใช่เพราะว่าเขาเชื่อฟังคำพูดของเฉินจิ่งหยุ้นมาก แต่เขาขี้เกียจหาเรื่องรำคาญใส่หัว
ตอนนี้เขารู้สึกว่าเฉินจิ่งหยุ้นนับวันยิ่งน่าเบื่อขึ้นเรื่อย ๆ เลยไม่อยากไปพักที่บ้านตระกูลเฉินอีกแล้ว
คืนนี้ต้องหาที่พักค้างคืนก่อนสักคืน
เมื่อเดินเข้าโรงแรมจีนติ่ง เขาก็ค้นพบว่าสไตล์การตกแต่งของโรงแรมจีนติ่งไม่เลวเลย ถือว่ามีรสนิยมพอตัว
เฉินถิงเซียวเปิดห้องชุดหนึ่งห้อง หลังจากจัดการวางสิ่งของเรียบร้อยแล้ว ก็พาเฉินมู่ไปกินข้าวในร้านอาหาร
มัวแต่วุ่นวายมาทั้งคืนแล้ว เวลากินข้าวก็ปาเข้าไปสองทุ่มกว่า
อย่าพูดเลยว่าเฉินมู่เป็นแค่เด็กน้อยคนหนึ่ง ขนาดเขาเองก็ยังหิวเลย
เมื่ออาหารมาเสิร์ฟ เฉินมู่ก็ลุกยืนบนเก้าอี้เด็กอย่างทนไม่ไหว และเริ่มคว้าตะเกียบเพื่อเตรียมลงมือคีบอาหาร
เฉินถิงเซียวเริ่มพูดเสียงแข็ง “นั่งลง”
เฉินมู่ได้แต่คว่ำปากยิ้มกลับและนั่งลงทันที และพูดอย่างน้อยใจ “หนูหิวมากเลยค่ะ...”
เฉินถิงเซียวตักข้าวแต่ไม่ยอมพูดจาอะไร หลังจากที่คีบอาหารใส่ชามของเธอและคลุกให้เธอแล้ว ก็หยิบเอาผ้าเช็ดปากมาสอดลงใต้ลำคอของเธอ จากนั้นถึงได้ยื่นชามข้าวมายังด้านหน้าของเธอ
การกระทำทุกอย่างช่างดูคล่องแคล่องและคุ้นเคยมาก
ผู้หญิงหลายๆ คนที่นั่งอยู่โต๊ะข้างๆ ถึงกับกระซิบพูดถึงเฉินถิงเซียวขึ้นมาทันที
หลายปีที่ผ่านมานี้เฉินถิงเซียวเห็นหน้าค่าตาอยู่ในข่าวมาหลายครั้ง จนมีคนจำเขาได้แล้ว แต่ไม่มีคนกล้าตีสนิทไปคุยด้วย
เมื่อเฉินมู่ยังมีอายุได้ไม่กี่เดือนตอนยังดื่มนมอยู่นั้น ก็แสดงความชอบที่ไม่ค่อยปกติออกมา ซึ่งคว้าอะไรได้ก็ตามก็จับยัดใส่ปากทันที
ส่วนเรื่องกินข้าวนั้น เธอจึงคนวางใจได้เลย
เฉินถิงเซียวมองท่าทางการกิน “ตะกละตะกลาม” ของเฉินมู่ จนหัวคิ้วผูกเป็นโบเล็กน้อย “ค่อยๆ กิน”
เฉินมู่สนใจคำพูดของเขาที่ไหนกัน เมื่อหยิบตะเกียบได้ก็จัดการคุ้ยข้าวเอาปากอย่างเต็มที่ทันที
เวลานั้นน้ำซุปยังไม่ได้เสิร์ฟ เฉินถิงเซียวได้แต่ยื่นแก้วน้ำมาให้ตรงหน้าเธอ เพื่อป้อนน้ำให้เธอดื่ม
ตอนที่เสิ่นเหลียงตามคนในกองถ่ายเข้ามานั้น ก็เห็นฉากนี้เข้าพอดี
ผู้ชายรูปร่างสูงใหญ่นั่งอยู่ด้านหน้าโต๊ะอาหาร มือหนึ่งก็ถือแก้วน้ำ อีกมือก็เอาทิชชูเอาไว้ แม้ว่าภาพนั้นจะไม่แสดงความรู้สึกใดๆ ออกมา ทว่าดวงตาดำขลับกลับจับสังเกตเด็กสาวตัวน้อยที่กำลังกินข้าวอยู่
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ฉัน....เป็นเจ้าสาวจอมปลอม
พระเอกชอบใช้อำนาจบังคับ ไม่ฟังความคิดเห็นนางเอก พอมีปัญหา แทนที่จะอธิบายว่าจะทำอะไร กลับเลือกที่จะปิดปังและทำร้ายจิตใจ ไม่น่าให้อภัยอ่ะ น่าจะต่างคนต่างอยู่ ขัดใจว่าทำไมปล่อยให้ลูกทารกโดนลักพาตัวไปได้ โคตรไม่รอบคอบอ่ะ เรื่องไอ้ลู่ก็เหมือนกัน นาวเอกโง่จนไม่เห็นความไม่สมเหตุสมผลใดๆ จนความจำกลับมา มันก็ต้องสงสัยแล้วป่ะว่าตอนก่อนจะเสียความทรงจำ ไอ้ลู่แอบเข้าไปในห้องตัวเองทำไม และต้องเอะใจและตัดความสัมพันธ์สิเพราะถามอะไรก็ไม่เคยตอบ พระเอกก็เหมือนกัน รู้สึกว่าไอ้ลู่มีจุดประสงค์ไม่ดี แต่ก็ไม่ทำอะไร ให้โอกาสมันก่อเรื่อง 3-4 บทสุดท้ายรวบรัดตัดจบมาก ปมต่างๆก็ไม่เคลียร์ ไม่รู้แม่พระเอกยังอยู่หรือตาย ทำไมไอ้ลู่ถึงเลี้ยงนางเอกมาตั้งสามปีแทนที่จะรีบเอาไปผ่าตัดให้น้องสาว ทำไมถึงพยายามจะให้พระเอกลืมนางเอกและทำร้ายนางเอก อ่านจนจบก็ไม่เห็นบอกว่ามีความแค้นอะไรกับพระเอก และทำไมมุ่งเป้ามาที่นางเอก และไอ้ปากกาหมึกซึมที่พระเอกเก็บไว้น่ะ ก็ไม่มีอธิบายเพิ่ม แค่เปรยว่านางเอกเคยเอาปากกาให้เด็กขอทาน ต่ไม่บอกว่ามันมีความสำคัญยังไง สรุปอ่านแล้วขัดใจหลายอย่างมากค่ะ...
ขอบคุณนะคะที่อัพจนจบ❤️❤️❤️...
แรกๆฉันเชียร์เธอหมดใจแต่มู่น่อนน่อนนี่เธอก็ดื้อเกินไปนะ รู้ทั้งรู้ยังจะชอบสร้างปัญหาซ้ำแล้วซ้ำอีก มั่นใจตัวเองอะไรผิดๆเกิ๊นนน ฉันเริ่มจะเบื่อเธอแล้วนะ เจอก็เจอแล้วแค่กลับไป แล้วยังจะคิดกลับไปให้เขาเฉือนอวัยวะไง!!!! ตัวเองจะไปสืบอะไรจากไหน?!!!...