ความเงียบงันเต็มไปในอากาศ
มู่น่อนน่อนแคะนิ้วพร้อมกับสบตาเฉินถิงเซียว แล้วก็พ่ายแพ้ต่อสายตาที่ลึกซึ้งของเฉินถิงเซียว
เธอหันหน้าหนีก่อน พร้อมกับเม้มปากและพูดว่า “แล้วแต่คุณว่าแล้วกัน”
เฉินถิงเซียวก็ไม่ได้พูดอะไรอีก เพราะว่าหมอเข้ามาแล้ว
หมอทักทายด้วยความสุภาพก่อน “คุณเฉิน”
หลังจากนั้น ถึงได้ส่งรายงานสรุปให้เฉินถิงเซียว
“ร่างกายของคุณมู่ฟื้นฟูได้ไม่เลวเลย การทำงานของร่างกายทั้งหมดมักจะเป็นปกติ แต่เรายังต้องใส่ใจกับการพักฟื้น……” หมอพูดจบ ก็ชะงักไปแล้วเอ่ยถามว่า “คุณมู่ไม่ได้รู้สึกไม่สบายตรงไหนอีกจริงๆ เหรอคะ? ”
พอสิ้นเสียงของหมอ ก็รู้สึกว่าบรรยากาศภายในห้องไม่ค่อยปกติเท่าไหร่
เธอเงยหน้าขึ้นมา ก็พบว่าเฉินถิงเซียวกำลังจ้องมองเธอ แววตาของเขาดูหม่นหมองเล็กน้อย
“ขอโทษด้วยค่ะ คุณเฉิน ฉันไม่ได้มีเจตนาร้าย ปกติแล้วถ้าสถานการณ์อย่างคุณมู่เนี่ย หลังจากฟื้นขึ้นมาแล้ว น่าจะมีอาการอะไรตกค้างบางอย่าง……”
ตอนที่หมอผู้หญิงพูดประโยคนี้ สายตาก็มองไปที่มู่น่อนน่อนอย่างไม่รู้ตัว
อาการของมู่น่อนน่อนถือว่าไม่ปกติ ในฐานะที่เป็นหมอก็ต้องรู้สึกสงสัยเป็นธรรมดา
ถึงแม้ว่าจะรู้ว่าเฉินถิงเซียวเป็นคนที่ไม่ควรเข้าไปยั่ว แต่ว่าเธอก็อดไม่ได้ที่จะถามประโยคนี้ออกมา
มู่น่อนน่อนรู้สึกว่ามันก็สามารถเข้าใจได้ที่หมอจะถามแบบนี้ ถึงยังไงเธอก็ยังคงมีอาการค้างอยู่จริงๆ
ความจำเสื่อม ถือว่าเป็นอาการที่คงเหลือของเธอไม่ใช่เหรอ?
แต่ว่าเห็นได้ชัดว่า เฉินถิงเซียวไม่ได้คิดแบบนั้น
เฉินถิงเซียวหัวเราะอย่างเย็นชา แววตาดุร้าย “มีอาการคงเหลือรึเปล่า ตัวเองมีตาแล้วมองไม่เห็นงั้นเหรอ? ”
หมอผู้หญิยังอยากจะพูดอะไรบางอย่าง แต่ว่าถูกหมออีกคนหนึ่งดึงออกไป กลัวว่าเธอพูดอะไรไปแล้วจะไปทำให้เฉินถิงเซียวคับข้องใจเข้า
ถึงแม้ว่าจะมองไม่ออกว่ามู่น่อนน่อนมีอาการคงเหลือรึเปล่า แต่ว่ามองออกว่าตอนนี้เฉินถิงเซียวรู้สึกไม่มีความสุขแล้ว
มู่น่อนน่อนรู้สึกได้อย่างเห็นได้ชัด
เธอไม่ค่อยเข้าใจว่าทำไมจู่ๆ เฉินถิงเซียวถึงไม่มีความสุข แต่ว่าก็ไม่กล้าถาม
หมอผู้หญิงพวกนั้นเล่าอาการของมู่น่อนน่อนให้เฉินถิงเซียวฟังอย่างละเอียดอีกครั้ง หลังจากนั้นก็ออกไป
ตอนนี้เอง มีลูกน้องคนหนึ่งเดินมาหยุดอยู่ข้างๆ เฉินถิงเซียว แล้วก็กระซิบบางอย่างที่ข้างหูของเขา
เฉินถิงเซียวได้ยินแล้วก็พูดว่า “พาเขาเข้ามา”
ยังมีคนมาอีกเหรอ?
มู่น่อนน่อนเห็นว่าลูกน้องคนนั้นเดินออกไป แล้วก็เอียงคอมองไปที่ประตู
ผ่านไปไม่นาน ลูกน้องคนหนึ่งก็เดินเข้ามาพร้อมกับหมอผู้ชายเสื้อกาวน์สีขาว
หมอผู้ชายคนนั้นดูอ่อนเปลี้ยเพลียแรงเด็กน้อยแต่ก็ยังทำให้คนรู้สึกสงบได้ อายุประมาณ 50 ปี ดูดีมีสง่าราศี
เขาเดินมาหยุดอยู่ตรงหน้าเฉินถิงเซียว สีหน้าจริงจัง “คุณคือคุณเฉิน?”
ผู้ชายคนนี้ ก็คือผู้เชี่ยวชาญด้านสมองที่สือเย่กลับมาให้เฉินถิงเซียว
เฉินถิงเซียวค่อยๆ ยืนขึ้น “ผมชื่อเฉินถิงเซียว”
“ขอโทษด้วยค่ะ พอดีผมเพิ่งผ่าตัดเสร็จ พรุ่งนี้เช้าจะต้องผ่าตัดอีกครั้งหนึ่ง พวกเราเข้าเรื่องกันเลยดีกว่า”เขาเดินไปอีกฝั่งหนึ่งและนั่งลง
สีหน้าของเขาดูแน่วแน่และมั่นใจ คิดว่าน่าจะเป็นผู้เชี่ยวชาญที่เชื่อถือได้
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ฉัน....เป็นเจ้าสาวจอมปลอม
พระเอกชอบใช้อำนาจบังคับ ไม่ฟังความคิดเห็นนางเอก พอมีปัญหา แทนที่จะอธิบายว่าจะทำอะไร กลับเลือกที่จะปิดปังและทำร้ายจิตใจ ไม่น่าให้อภัยอ่ะ น่าจะต่างคนต่างอยู่ ขัดใจว่าทำไมปล่อยให้ลูกทารกโดนลักพาตัวไปได้ โคตรไม่รอบคอบอ่ะ เรื่องไอ้ลู่ก็เหมือนกัน นาวเอกโง่จนไม่เห็นความไม่สมเหตุสมผลใดๆ จนความจำกลับมา มันก็ต้องสงสัยแล้วป่ะว่าตอนก่อนจะเสียความทรงจำ ไอ้ลู่แอบเข้าไปในห้องตัวเองทำไม และต้องเอะใจและตัดความสัมพันธ์สิเพราะถามอะไรก็ไม่เคยตอบ พระเอกก็เหมือนกัน รู้สึกว่าไอ้ลู่มีจุดประสงค์ไม่ดี แต่ก็ไม่ทำอะไร ให้โอกาสมันก่อเรื่อง 3-4 บทสุดท้ายรวบรัดตัดจบมาก ปมต่างๆก็ไม่เคลียร์ ไม่รู้แม่พระเอกยังอยู่หรือตาย ทำไมไอ้ลู่ถึงเลี้ยงนางเอกมาตั้งสามปีแทนที่จะรีบเอาไปผ่าตัดให้น้องสาว ทำไมถึงพยายามจะให้พระเอกลืมนางเอกและทำร้ายนางเอก อ่านจนจบก็ไม่เห็นบอกว่ามีความแค้นอะไรกับพระเอก และทำไมมุ่งเป้ามาที่นางเอก และไอ้ปากกาหมึกซึมที่พระเอกเก็บไว้น่ะ ก็ไม่มีอธิบายเพิ่ม แค่เปรยว่านางเอกเคยเอาปากกาให้เด็กขอทาน ต่ไม่บอกว่ามันมีความสำคัญยังไง สรุปอ่านแล้วขัดใจหลายอย่างมากค่ะ...
ขอบคุณนะคะที่อัพจนจบ❤️❤️❤️...
แรกๆฉันเชียร์เธอหมดใจแต่มู่น่อนน่อนนี่เธอก็ดื้อเกินไปนะ รู้ทั้งรู้ยังจะชอบสร้างปัญหาซ้ำแล้วซ้ำอีก มั่นใจตัวเองอะไรผิดๆเกิ๊นนน ฉันเริ่มจะเบื่อเธอแล้วนะ เจอก็เจอแล้วแค่กลับไป แล้วยังจะคิดกลับไปให้เขาเฉือนอวัยวะไง!!!! ตัวเองจะไปสืบอะไรจากไหน?!!!...