มู่น่อนน่อนทานข้าว แล้วก็หันไปมองเฉินถิงเซียว
ถึงแม้ว่าเฉินถิงเซียวจะไม่ได้มองไปที่เธอ แต่ก็รับรู้ถึงสายตาของเธอที่ต้องมา
เขาพูดอย่างเฉยเมยว่า “ถ้ามีอะไรก็พูด”
“มู่มู่ไปอยู่กับคุณ คุณรู้สึกคุ้นเคยไหม?” มู่น่อนน่อนวางตะเกียบลง ก่อนที่จะถามออกไป
เฉินถิงเซียวไม่ได้ตอบคำถามโดยตรง เขาถามกลับไปว่า“ถ้าผมบอกว่าไม่คุ้นเคย คุณจะรับตัวเธอกลับมาไหม?”
มู่น่อนน่อนถามอย่างลังเลว่า “…ไม่คุ้นเคยจริงๆ เหรอ?”
ครั้งนี้เฉินถิงเซียวตอบคำถามของเธออย่างจริงจัง
“เมื่อเทียบกับคุณแล้ว เด็กน้อยคนนั้นทำให้ผมรู้สึกคุ้นเคยได้ง่ายกว่าคุณ”
เวลาเขาพูดให้ความรู้สึกเหมือนมีบางอย่างซ่อนอยู่ในคำพูดของเขา
โชคดีที่มู่น่อนน่อนรู้สึกคุ้นเคยกับการพูดแบบนี้ของเขานานแล้ว
ความหมายในคำพูดของเขาก็คือ…เขาเข้ากับเฉินมู่ได้ง่ายกว่า?
มู่น่อนน่อนถามเขา “การเข้ากับฉันมันยากมากเลยเหรอ?”
เมื่อก่อน เธอก็เคยคิดว่าหลังจากที่มีลูกแล้ว เฉินถิงเซียวจะเป็นคุณพ่อในรูปแบบไหนกัน
เธอคิดว่า เฉินถิงเซียวที่มีนิสัยเย็นชาแบบนี้ น่าจะไม่สามารถเข้ากับเด็กน้อยได้
แต่ในความเป็นจริงยืนยันแล้วว่า เขาเข้ากับเด็กน้อยไม่ได้จริงๆ แต่ว่า สิ่งนี้ก็ไม่ได้ทำให้เฉินมู่เลิกชอบเขา หรือไม่อยากเข้าใกล้เขา
“เดี๋ยวสักพักคุณก็อยากแต่งงานกับผมมีครั้ง เดี๋ยวสักพักคุณก็ไม่พัวพันกับคนรักคนแรกของคุณ มันวุ่นวายมากๆ”
ตอนที่เฉินถิงเซียวพูดคำพูดพวกนี้ เขาไม่เงยหน้าขึ้นมาเลย เขาพูดออกมาอย่างเป็นธรรมชาติ เหมือนกับว่าเขาเก็บเรื่องนี้ไว้ในใจมานานแล้ว
มู่น่อนน่อนรู้ว่าเขายังพูดไม่จบ เธอก็เลยเงียบและรอให้เขาพูดประโยคหลังออกมา
“เด็กน้อยคนนั้นไม่เหมือนกับคุณ แค่ให้ลูกอมเธอซักสองเม็ดหรือเปิดการ์ตูนให้เธอดู เธอก็เชื่อฟังมากๆแล้ว” หลังจากเฉินถิงเซียวพูดจบ เขาก็เงยหน้ามองไปที่เธอ
เขาขมวดคิ้วเล็กน้อย ในแววตาของเขาก็ยังมีความรู้สึกรังเกียจที่มีต่อเธออย่างเห็นได้ชัด
มู่น่อนน่อนขยับปาก ก่อนที่จะอธิบายให้เขาฟังอย่างอดทน “ฉันรู้จักกับเสิ่นชูหานมานานแล้ว ฉันเคยชอบเขา แต่…”
เธอยังไม่ทันได้พูดจบ เธอก็ได้ยินเสียงพูดที่เย็นชาของเฉินถิงเซียว “เหอะ ยอมรับแล้วสิ?”
“คุณฟังฉันให้จบก่อนได้ไหม?” นิสัยเขาที่ชอบพูดตัดบทคนอื่น เมื่อไหร่เขาจะแก้นิสัยนี้สักที?
เฉินถิงเซียวยกยิ้มมุกปาก สีหน้าของเขาดูราบเรียบ “ถ้าปล่อยให้คุณพูดจนจบ ข้าวมื้อนี้ก็คงทานต่อไปไม่ได้แล้ว”
มู่น่อนน่อนสงสัย “หมายความว่ายังไง?”
เฉินถิงเซียวพูดด้วยใบหน้าที่ดูจริงจัง “ที่แท้คุณก็ไม่ได้ตั้งใจจะเรียกให้ผมมาทานข้าวนี่เอง แต่คุณตั้งใจเรียกผมให้มาฟังเรื่องคนรักคนแรกของคุณเพื่อยั่วโมโหผม”
มู่น่อนน่อนพูดประหลาดใจ “…ฉันจงใจไปยั่วโมโหคุณตอนไหนกัน?”
“ผมไม่อยากจะได้ยินคำว่าเสิ่นชูหานออกมาจากปากของคนอีก ตั้งแต่นี้เป็นต้นไป คุณก็หุบปากซะ” เขาพูดเน้นย้ำทีละคำ น้ำเสียงเขาก็ฟังดูเข้มงวดมาก
มู่น่อนน่อนตกใจจนรีบเงียบทันที
หลังจากที่เฉินถิงเซียวพูดจบ เขาก็ก้มหน้าลงทานข่าวต่อ
เขาทานอาหารได้เยอะมาก เหมือนเมื่อก่อนเลย เขาจะคีบกับข้าวทุกเมนูทีละน้อย จากนั้นก็จะทำอย่างนี้ซ้ำไปซ้ำมา
แม้แต่ทานข้าว เขาก็มีท่าทีที่ดูจริงจังเหมือนกับตอนที่กำลังทำงานเลย
อือ ไม่อยากจะได้ยินคำว่าเสิ่นชูหานออกมาจากปากของเธอ คือเขาหึงเหรอ?
ในใจมู่น่อนน่อนคิดแบบนี้ แต่เธอก็ไม่มั่นใจเลย
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ฉัน....เป็นเจ้าสาวจอมปลอม
พระเอกชอบใช้อำนาจบังคับ ไม่ฟังความคิดเห็นนางเอก พอมีปัญหา แทนที่จะอธิบายว่าจะทำอะไร กลับเลือกที่จะปิดปังและทำร้ายจิตใจ ไม่น่าให้อภัยอ่ะ น่าจะต่างคนต่างอยู่ ขัดใจว่าทำไมปล่อยให้ลูกทารกโดนลักพาตัวไปได้ โคตรไม่รอบคอบอ่ะ เรื่องไอ้ลู่ก็เหมือนกัน นาวเอกโง่จนไม่เห็นความไม่สมเหตุสมผลใดๆ จนความจำกลับมา มันก็ต้องสงสัยแล้วป่ะว่าตอนก่อนจะเสียความทรงจำ ไอ้ลู่แอบเข้าไปในห้องตัวเองทำไม และต้องเอะใจและตัดความสัมพันธ์สิเพราะถามอะไรก็ไม่เคยตอบ พระเอกก็เหมือนกัน รู้สึกว่าไอ้ลู่มีจุดประสงค์ไม่ดี แต่ก็ไม่ทำอะไร ให้โอกาสมันก่อเรื่อง 3-4 บทสุดท้ายรวบรัดตัดจบมาก ปมต่างๆก็ไม่เคลียร์ ไม่รู้แม่พระเอกยังอยู่หรือตาย ทำไมไอ้ลู่ถึงเลี้ยงนางเอกมาตั้งสามปีแทนที่จะรีบเอาไปผ่าตัดให้น้องสาว ทำไมถึงพยายามจะให้พระเอกลืมนางเอกและทำร้ายนางเอก อ่านจนจบก็ไม่เห็นบอกว่ามีความแค้นอะไรกับพระเอก และทำไมมุ่งเป้ามาที่นางเอก และไอ้ปากกาหมึกซึมที่พระเอกเก็บไว้น่ะ ก็ไม่มีอธิบายเพิ่ม แค่เปรยว่านางเอกเคยเอาปากกาให้เด็กขอทาน ต่ไม่บอกว่ามันมีความสำคัญยังไง สรุปอ่านแล้วขัดใจหลายอย่างมากค่ะ...
ขอบคุณนะคะที่อัพจนจบ❤️❤️❤️...
แรกๆฉันเชียร์เธอหมดใจแต่มู่น่อนน่อนนี่เธอก็ดื้อเกินไปนะ รู้ทั้งรู้ยังจะชอบสร้างปัญหาซ้ำแล้วซ้ำอีก มั่นใจตัวเองอะไรผิดๆเกิ๊นนน ฉันเริ่มจะเบื่อเธอแล้วนะ เจอก็เจอแล้วแค่กลับไป แล้วยังจะคิดกลับไปให้เขาเฉือนอวัยวะไง!!!! ตัวเองจะไปสืบอะไรจากไหน?!!!...