เฉินถิงเซียวได้ยินคำพูดของเธอแล้ว ก็ไม่ได้โกรธ แต่กลับเอ่ยพูดออกมาด้วยน้ำเสียงที่จริงจังออกมาแทน “ไม่สามารถช่วยเหลือตัวเองได้ สามารถนอนห้องเดียวกับคุณได้หรือเปล่า?”
มู่น่อนน่อนถูกน้ำเสียงที่จริงจังสุดๆของเขาทำเอาช็อกไป
ราวกับว่าถ้าเธอพูดว่า “ได้” ไปคำนึงจริงๆ เขาก็เหมือนจะสามารถทำให้ชีวิตไม่สามารถช่วยเหลือตัวเองได้ยังไงอย่างนั้น
มู่น่อนน่อนคร้านจะพูดกับเขาอีก เดินเข้าไปจัดการกับของเล่นของเฉินมู่ จากนั้นก็เอาไปที่ห้องของเฉินมู่
อย่าพยายามจะพูดคุยเหตุผลกับผู้ชายคนนี้ พูดสู้เขาไม่ได้อยู่แล้ว
อีกทั้งบางครั้งเขาก็ยังทำตัวเป็นเด็กมากเลย
……
เฉินถิงเซียวพักอยู่ที่ห้องเช่าของมู่น่อนน่อนไปอย่างนี้
เช้าวันที่สองตอนที่เขาไปทำงาน ได้พากระเป๋าเดินทางไปอีก ตอนที่กลับมาตอนเย็น ก็ได้นำกระเป๋าเดินทางมาอีก
รองเท้า ผ้าขนหนู เนกไท...ทั้งหมดล้วนเป็นข้าวของของเขาทั้งนั้น
ในตู้รองเท้าที่อยู่ตรงทางเข้า ด้านบนหลายชั้นได้วางรองเท้าของมู่น่อนน่อนเอาไว้อยู่ ด้านล่างสองชั้นได้เจียดแบ่งเอาไว้วางรองเท้าหนังของเฉินถิงเซียว
รองเท้าหนังกับเสื้อสูทของเฉินถิงเซียว มองไปแล้วโดยรวมก็เป็นแบบเดียวกันทั้งนั้น แต่มู่น่อนน่อนรู้ว่าของพวกนี้ไม่ใช่ของแบบเดียวกัน ระหว่างรองเท้าแต่ละคู่มันมีข้อแตกต่างกันอยู่
เสื้อสูทเป็นแบรนด์เดียวกัน แต่กลับไม่ได้เป็นแบบเดียวกัน
มีเพียงแค่รูปแบบของเนกไทที่จะดูแตกต่างกันอย่างเห็นได้ชัดขึ้นมาหน่อย เพราะถึงยังไงสีกับลวดลายก็ไม่เหมือนกันอยู่แล้ว
ในห้องน้ำก็ได้เพิ่มของใช้ของผู้ชายขึ้นมาเยอะมากเลยเช่นกัน
ห้องน้ำเดิมทีแล้วก็ไม่ได้ใหญ่ วางข้าวของของมู่น่อนน่อนกับเฉินมู่ได้พอดิบพอดี เพิ่มของใช้ในชีวิตประจำวันของผู้ใหญ่มาอีกคน เหมือนว่าจะแออัดอยู่บ้าง
มู่น่อนน่อนเห็นเฉินถิงเซียวจัดข้าวของของตัวเองอย่างเป็นระเบียบ มองไปแล้วก็เหมือนกับว่าเป็นสามีที่ออกไปทำงานนอกสถานที่กลับมาแล้วเอาข้าวของของตัวเองจัดวางที่ในบ้านนี้ไปใหม่อีกครั้ง
ถึงแม้ว่า “บ้าน” หลังนี้จะเป็นเพียงแค่บ้านที่มู่น่อนน่อนเช่ามาเท่านั้น
มู่น่อนน่อนก็ไม่ได้ช่วยเขาด้วยเหมือนกัน เพียงแค่มองเขายุ่งอยู่ที่ข้างๆ
สภาพอากาศอันที่จริงมันก็หนาวขึ้นมาบ้างแล้ว แต่เฉินถิงเซียวพอเข้าบ้านมาก็ถอดเสื้อคลุมตัวนอกออกไปเลย สวมเพียงแค่เสื้อเชิ้ตสีกรมท่าแค่ตัวเดียว กระดุมที่แขนเสื้อได้ถูกปลดออก แขนเสื้อได้ถกขึ้นถึงท่อนแขน จัดเรียงรองเท้า ทำความสะอาดข้าวของไปอย่างไม่สะทกสะท้านอะไร
ตอนนี้ ด้านนอกจู่ๆก็มีเสียงเคาะประตูดังขึ้นมา
มู่น่อนน่อนมองเฉินถิงเซียวไปแวบนึง แล้วผันร่างไปเปิดประตู
ประตูห้องเปิดออก ด้านนอกมีคนสองคนสวมชุดทำงานของกรรมกรกำลังยกกล่องลังกล่องใหญ่มาใบหนึ่ง “สวัสดีครับ ไม่ทราบคุณคือภรรยาของคุณเฉินหรือเปล่าครับ? นี่เป็นโต๊ะทำงานที่คุณเฉินได้สั่งเอาไว้ รบกวนคุณช่วยเซ็นรับหน่อยครับ”
มู่น่อนน่อนตะลึงงันไป
เธอไม่รู้ว่าตัวเองควรจะเข้าไปชมเฉินถิงเซียวก่อนสักหน่อยว่าแม้แต่โต๊ะทำงานก็เตรียมเอาไว้เสร็จสรรพแล้ว หรือว่าจะเซ็นชื่อก่อนดี
เธอสูดหายใจเข้าลึกๆ มองเข้าไปทางในห้องไปแวบนึง ก็เห็นเฉินถิงเซียวออกมาจากห้องน้ำพอดี
มู่น่อนน่อนถอนสายตากลับมา ก้มหน้าเซ็นชื่อลงไป
คนงานส่งของเข้ามา “คุณนายมู่ ติดตั้งโต๊ะไว้ที่ไหนครับ?”
เฉินถิงเซียวได้ยินเสียงก็เดินออกมา แล้วชี้ไปด้านหน้าหน้าต่างที่ทอดยาวจรดพื้น “วางไว้ตรงนั้น”
มู่น่อนน่อนเลิกคิ้วออกมา น้ำเสียงไม่ดีนัก “แม้แต่ที่ก็ยังคิดเอาไว้เรียบร้อยแล้ว”
“อืม” เฉินถิงเซียวไม่ได้รับผลกระทบอะไรเนื่องจากน้ำเสียงของมู่น่อนน่อนเลย เขาเอ่ยออกมาด้วยสีหน้าที่ไม่เปลี่ยนไปเลย “ทางนี้วางโต๊ะทำงานของผม อีกด้านนึงเหลือไว้ให้คุณกับเฉินมู่ใช้”
น้ำเสียงของเขาเป็นธรรมชาติเสียจนเหมือนกับว่าได้ทำเหมือนที่นี่ได้กลายเป็นบ้านไปแล้วจริงๆ
มู่น่อนน่อนพูดอะไรไม่ออก ทำเพียงแค่ไปดูคนงานติดตั้งโต๊ะทำงานของเขาอยู่ที่ข้างๆ
ก็คงจะเป็นเพราะว่าคำนึงว่าห้องไม่ได้ใหญ่มาก โต๊ะทำงานของเฉินถิงเซียวถึงแม้ว่าจะยังมาพร้อมกับชั้นวางหนังสือด้วย แต่ก็ไม่ได้ครองพื้นที่เยอะมาก
ห้องนี้เป็นห้องเก่าของเมื่อก่อน ถึงแม้ว่าการตกแต่งจะสวยประณีต แต่องค์ประกอบของห้องเรียบง่ายมาก ห้องรับแขกค่อนข้างจะใหญ่อยู่บ้างเล็กน้อย เมื่อเทียบกับลักษณะห้องใหม่ๆบางห้องของตอนนี้ดูแล้ว ห้องรับแขกของห้องนี้มันใหญ่จนไม่สมเหตุสมผลอยู่บ้าง
มีพื้นที่ว่างเล็กๆพอดี ก่อนหน้านี้มู่น่อนน่อนก็คิดอยู่ว่าอยากจะซื้อโต๊ะทำงานสักตัวกลับมาด้วยเหมือนกัน แต่นึกไม่ถึงว่าจะถูกเฉินถิงเซียวมาก่อนแล้วได้ไปก่อนแล้ว
คนงานติดตั้งโต๊ะทำงานเสร็จก็กลับไป
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ฉัน....เป็นเจ้าสาวจอมปลอม
พระเอกชอบใช้อำนาจบังคับ ไม่ฟังความคิดเห็นนางเอก พอมีปัญหา แทนที่จะอธิบายว่าจะทำอะไร กลับเลือกที่จะปิดปังและทำร้ายจิตใจ ไม่น่าให้อภัยอ่ะ น่าจะต่างคนต่างอยู่ ขัดใจว่าทำไมปล่อยให้ลูกทารกโดนลักพาตัวไปได้ โคตรไม่รอบคอบอ่ะ เรื่องไอ้ลู่ก็เหมือนกัน นาวเอกโง่จนไม่เห็นความไม่สมเหตุสมผลใดๆ จนความจำกลับมา มันก็ต้องสงสัยแล้วป่ะว่าตอนก่อนจะเสียความทรงจำ ไอ้ลู่แอบเข้าไปในห้องตัวเองทำไม และต้องเอะใจและตัดความสัมพันธ์สิเพราะถามอะไรก็ไม่เคยตอบ พระเอกก็เหมือนกัน รู้สึกว่าไอ้ลู่มีจุดประสงค์ไม่ดี แต่ก็ไม่ทำอะไร ให้โอกาสมันก่อเรื่อง 3-4 บทสุดท้ายรวบรัดตัดจบมาก ปมต่างๆก็ไม่เคลียร์ ไม่รู้แม่พระเอกยังอยู่หรือตาย ทำไมไอ้ลู่ถึงเลี้ยงนางเอกมาตั้งสามปีแทนที่จะรีบเอาไปผ่าตัดให้น้องสาว ทำไมถึงพยายามจะให้พระเอกลืมนางเอกและทำร้ายนางเอก อ่านจนจบก็ไม่เห็นบอกว่ามีความแค้นอะไรกับพระเอก และทำไมมุ่งเป้ามาที่นางเอก และไอ้ปากกาหมึกซึมที่พระเอกเก็บไว้น่ะ ก็ไม่มีอธิบายเพิ่ม แค่เปรยว่านางเอกเคยเอาปากกาให้เด็กขอทาน ต่ไม่บอกว่ามันมีความสำคัญยังไง สรุปอ่านแล้วขัดใจหลายอย่างมากค่ะ...
ขอบคุณนะคะที่อัพจนจบ❤️❤️❤️...
แรกๆฉันเชียร์เธอหมดใจแต่มู่น่อนน่อนนี่เธอก็ดื้อเกินไปนะ รู้ทั้งรู้ยังจะชอบสร้างปัญหาซ้ำแล้วซ้ำอีก มั่นใจตัวเองอะไรผิดๆเกิ๊นนน ฉันเริ่มจะเบื่อเธอแล้วนะ เจอก็เจอแล้วแค่กลับไป แล้วยังจะคิดกลับไปให้เขาเฉือนอวัยวะไง!!!! ตัวเองจะไปสืบอะไรจากไหน?!!!...