หลังจากที่มู่น่อนน่อนกับเสิ่นเหลียงแยกกัน ก็พาเฉินมู่ไปที่ลานจอดรถ
ก็คงจะเป็นเพราะคำพูดของเสิ่นเหลียงพูดเข้ามาในใจเธอ เธอจึงสติหลุดลอยไปเล็กน้อย
เธอเพิ่งจะอุ้มเฉินมู่เข้าไปในรถแล้วคาดเข็มขัดนิรภัยให้ แล้วก็ได้ยินเสียงรองเท้าส้นสูงดังขึ้นมาจากทางด้านหลัง
มู่น่อนน่อนไม่ได้ใส่ใจเท่าไหร่นัก คนสัญจรไปมาที่ในลานจอดรถมันก็ไม่ได้น้อยเลย
จนกระทั่งเธอปิดประตูเบาะหลังไปเรียบร้อยแล้ว ตอนที่หันหน้ากลับไป เห็นมู่หวั่นขีกำลังหิ้วกระเป๋า กอดแขนทั้งสองข้างเอาไว้อยู่ กำลังยืนมองเธออยู่ตรงที่ที่ห่างจากเธอออกมาเมตรนึง
อากาศช่วงปลายฤดูใบไม้ร่วง มู่น่อนน่อนได้สวมเสื้อไหมพรมบางๆเอาไว้แล้ว แต่มู่หวั่นขีเพียงแค่สวมเสื้อบางๆตัวเดียวกับกางเกงหนังที่สั้นเสียจนผิดปกติ ด้านล่างประกอบไปด้วยถุงน่องแบบโปร่งสีดำกับรองเท้าส้นสูง
มู่หวั่นขีเชิดคางขึ้นเล็กน้อย ลิปสติกสีแดงสดบนริมฝีปากได้ทาออกมาจนหนาเตอะ เอ่ยปากพูดออกมาอย่างเนือยๆ “บังเอิญจังเลยนะ”
มู่น่อนน่อนมองเธอไปด้วยใบหน้าที่ไร้อารมณ์ “งั้นเหรอ ฉันคิดว่าไม่บังเอิญเลยสักนิดเดียว”
สถานที่เธอกับเสิ่นเหลียงนัดกัน เป็นเพียงแค่ห้างที่ไม่ค่อยใหญ่มากแห่งหนึ่งเท่านั้น มู่หวั่นขีคนที่ชอบออกหน้าอวดประชันอย่างนี้ แน่นอนว่าไม่มีทางจะมาห้างเล็กๆแบบนี้ได้
นี่สามารถแสดงให้เห็นได้แค่เพียงว่ามู่หวั่นขีตามเธอมา
ส่วนตามมาตั้งแต่เมื่อไหร่นั้น มู่น่อนน่อนก็ไม่แน่ใจ
“เมื่อก่อนประเมินเธอต่ำไปจริงๆ ตอนเด็กๆอยู่ที่ตระกูลมู่เธอเสแสร้งเสียจนดูโง่งมขนาดนั้นก็เพื่อจะเอาใจแม่แท้ๆของเธอใช่มั้ยล่ะ? น่าเสียนะ ไม่ว่าเธอจะทำอะไรไป แต่แม่แท้ๆของเธอกลับยังคงเป็นห่วงเป็นใยฉันที่สุดอยู่ดี ในใจของเธอคงเกลียดฉันอยู่ตลอดเลยล่ะสิ?”
มู่หวั่นขีพูดออกมา แล้วค่อยๆเดินเข้ามาก้าวหนึ่งอย่างช้าๆ เอ่ยออกมาด้วยสายตาที่ชั่วร้าย “ดังนั้นแล้ว หลังจากที่เธอโตขึ้นมา จึงคอยตั้งตนเป็นศัตรูกับฉันไปทุกหนทุกแห่งมาโดยตลอด! และยังทำร้ายเฉิงหยู้ของฉันจนตายไปด้วย!”
ทุกครั้งที่มู่หวั่นขีมาหาเธอ ต่างก็พูดถึงซือเฉิงหยู้ไปเสียทุกครั้ง พอพูดถึงซือเฉิงหยู้ มู่หวั่นขีก็เปลี่ยนไปจนเหมือนกับคนบ้าขึ้นมา
มู่น่อนน่อนไม่ได้ถูกผลกระทบจากมู่หวั่นขี เธอเอ่ยออกไปอย่างสงบนิ่ง “ในเมื่อเธอถามมาแล้ว งั้นฉันก็ขอบอกเธอเอาไว้เลยว่าถ้าจะต้องพูดว่าเกลียด คนที่ฉันเกลียดก็คงจะเป็นแม่เลี้ยงของเธอด้วยเหมือนกัน มีรักก็ต้องมีเกลียด”
มู่หวั่นขีได้ยินคำพูดของเธอ ก็ยิ้มเย็นออกมา “ไม่ต้องมาปากอย่างใจอย่างอย่างนี้หรอก เห็นได้ชัดว่าเธอนั้นเกลียดฉัน แต่กลับต้องการจงใจแสดงออกมาเสียดูมีจิตใจดีอีก สิ่งที่ฉันเกลียดที่สุดเลยก็คือท่าทางเสแสร้งนี้ของเธอ!”
กับคนอย่างมู่หวั่นขี พูดมากไปมันก็ไม่ได้ช่วยอะไรหรอก มู่น่อนน่อนยอมแพ้ที่จะคุยกับเธอแล้ว
มู่น่อนน่อนผันร่างเตรียมจะขึ้นรถ แต่กลับถูกมู่หวั่นขีสาวเท้าก้าวใหญ่ๆเข้ามาดึงเธอเอาไว้
มู่น่อนน่อนแสดงสีหน้าโกรธออกมาเล็กน้อย พูดออกมาด้วยน้ำเสียงหมดความอดทนออกมา “มู่หวั่นขี เธอใกล้จะตกงานแล้วเหรอ? วันทั้งวันไม่ไปทำงาน พอฉันออกจากบ้านมาก็เอาแต่ตามฉัน มันสนุกเหรอ?”
มู่หวั่นขีบีบแขนเธอแน่น ฉีกริมฝีปากเผยรอยยิ้มวิตถารออกมา “แน่นอนว่ามันสนุกมาก เพียงแค่คิดว่าฉันตามเธอมาก็สามารถคิดหาวิธีฆ่าเธอเพื่อแก้แค้นให้กับซือเฉิงหยู้ได้ ฉันก็คิดว่ามันน่าสนุกมาก”
มู่น่อนน่อนคิดถึงเฉินมู่ที่ยังอยู่ในรถ ภายในใจก็ร้อนใจขึ้นมาเล็กน้อย
ยังดีที่หน้าต่างรถเป็นแบบกระจกที่มองเห็นแค่เพียงด้านเดียว กันเสียงได้ดีมากเช่นกัน ด้านในสามารถมองเห็นด้านนอกได้ แต่ด้านนอกมองไม่เห็นด้านใน
ดังนั้นแล้ว มู่หวั่นขีไม่สามารถมองเห็นเฉินมู่ที่อยู่ด้านในได้
“ถ้าว่างก็ให้ผู้จัดการของเธอช่วยเธอหาโรงพยาบาลดีๆดูหน่อยสิ จะได้ไม่ต้องเป็นบ้าไปก่อนที่ยังไม่ได้แก้แค้นฉันเลย”
มู่น่อนน่อนพูดจบ ก็สลัดมือของมู่หวั่นขีออกไปทันที แล้วเดินอ้อมไปเปิดประตูรถอีกด้านนึงแล้วนั่งเข้าไป
เธอกำลังจะขับรถ นึกขึ้นมาได้ว่าครั้งที่แล้วมู่หวั่นขีแอบเล่นกลอุบายที่บนรถของลี่จิ่วเชียน จึงไม่กล้าขับรถ
มู่หวั่นขีถูกมู่น่อนน่อนสลัดออกไป ก็ไม่ได้ออกไปโดยทันที
ในทันใดนั้น เธอก็มองไปที่เบาะหลังด้านในรถของมู่น่อนน่อน ผ่านทางหน้าต่างรถ สามารถมองเห็นได้รางๆว่าด้านในเหมือนกับว่าจะยังมีคนนั่งอยู่ด้วย
แต่เพราะเหตุผลทางสายตา จึงมองเห็นได้ไม่ชัดนัก
เธอจึงโน้มตัวเข้าไปตรงหน้าหน้าต่างรถทันที แนบเข้ากับกระจกดูเข้าไปข้างใน
รถของมู่น่อนน่อนไม่ได้แพงมาก วัสดุของกระจกรถก็ไม่ได้ดีมาก ดังนั้นแล้วเมื่อแนบเข้าไปบนหน้าต่างรถแล้ว ก็สามารถมองเห็นเด็กน้อยคนหนึ่งที่กำลังนั่งอยู่ด้านในได้รางๆ แต่ใบหน้ามองได้ไม่ชัดเจนนัก
“ทำอะไร!”
ไกลออกไปก็มีเสียงรปภ.ดังเข้ามา
มู่น่อนน่อนจึงได้พบว่ามู่หวั่นขียังไม่ไป
ร้ายดียังไงมู่หวั่นขีก็เป็นบุคคลสาธารณะ เห็นรปภ.เข้ามาแล้ว ก็ยืนตัวตรงแล้วเดินออกไป
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ฉัน....เป็นเจ้าสาวจอมปลอม
พระเอกชอบใช้อำนาจบังคับ ไม่ฟังความคิดเห็นนางเอก พอมีปัญหา แทนที่จะอธิบายว่าจะทำอะไร กลับเลือกที่จะปิดปังและทำร้ายจิตใจ ไม่น่าให้อภัยอ่ะ น่าจะต่างคนต่างอยู่ ขัดใจว่าทำไมปล่อยให้ลูกทารกโดนลักพาตัวไปได้ โคตรไม่รอบคอบอ่ะ เรื่องไอ้ลู่ก็เหมือนกัน นาวเอกโง่จนไม่เห็นความไม่สมเหตุสมผลใดๆ จนความจำกลับมา มันก็ต้องสงสัยแล้วป่ะว่าตอนก่อนจะเสียความทรงจำ ไอ้ลู่แอบเข้าไปในห้องตัวเองทำไม และต้องเอะใจและตัดความสัมพันธ์สิเพราะถามอะไรก็ไม่เคยตอบ พระเอกก็เหมือนกัน รู้สึกว่าไอ้ลู่มีจุดประสงค์ไม่ดี แต่ก็ไม่ทำอะไร ให้โอกาสมันก่อเรื่อง 3-4 บทสุดท้ายรวบรัดตัดจบมาก ปมต่างๆก็ไม่เคลียร์ ไม่รู้แม่พระเอกยังอยู่หรือตาย ทำไมไอ้ลู่ถึงเลี้ยงนางเอกมาตั้งสามปีแทนที่จะรีบเอาไปผ่าตัดให้น้องสาว ทำไมถึงพยายามจะให้พระเอกลืมนางเอกและทำร้ายนางเอก อ่านจนจบก็ไม่เห็นบอกว่ามีความแค้นอะไรกับพระเอก และทำไมมุ่งเป้ามาที่นางเอก และไอ้ปากกาหมึกซึมที่พระเอกเก็บไว้น่ะ ก็ไม่มีอธิบายเพิ่ม แค่เปรยว่านางเอกเคยเอาปากกาให้เด็กขอทาน ต่ไม่บอกว่ามันมีความสำคัญยังไง สรุปอ่านแล้วขัดใจหลายอย่างมากค่ะ...
ขอบคุณนะคะที่อัพจนจบ❤️❤️❤️...
แรกๆฉันเชียร์เธอหมดใจแต่มู่น่อนน่อนนี่เธอก็ดื้อเกินไปนะ รู้ทั้งรู้ยังจะชอบสร้างปัญหาซ้ำแล้วซ้ำอีก มั่นใจตัวเองอะไรผิดๆเกิ๊นนน ฉันเริ่มจะเบื่อเธอแล้วนะ เจอก็เจอแล้วแค่กลับไป แล้วยังจะคิดกลับไปให้เขาเฉือนอวัยวะไง!!!! ตัวเองจะไปสืบอะไรจากไหน?!!!...