เฉินมู่เบะปาก เอ่ยเสียงงึมงำว่า “ดุร้ายมาก”
เฉินถิงเซียวส่งสายตาไป เธอก็รีบหุบปากทันที และลงจากเตียงไปด้วยท่าทางที่ได้รับความไม่เป็นธรรม
เธอตัวเล็ก ทำได้เพียงแค่พาดตัวลงบนเตียงและค่อยๆไถลลงไปด้านล่าง มุมปากเบะลงเป็นเส้นโค้ง
เฉินมู่มองไปมองมาภายในห้องก็หาเสื้อผ้าตัวเองไม่เจอ
เธอกำลังจะพูด แต่ก็นึกถึงท่าทางเมื่อครู่นี้ของเฉินถิงเซียว เธอจึงตกใจจนปิดปากแน่น และไม่กล้าพูดอะไรอีก แต่วิ่งเข้าไปดึงผ้าห่มข้างกายเฉินถิงเซียว
เฉินถิงเซียวเลิกคิ้วมองเธอ
เฉินมู่เงยหน้ามองมู่น่อนน่อนครู่หนึ่ง และเอ่ยด้วยน้ำเสียงเบามากเป็นพิเศษ “หนูหาเสื้อไม่เจอ”
นี่คือห้องของเฉินถิงเซียว แน่นอนว่าไม่มีทางมีเสื้อผ้าของเฉินมู่
เฉินถิงเซียวได้ยินแล้วก็ก้มหน้ามองมู่น่อนน่อนในอ้อมแขนตัวเองเล็กน้อย หลังจากนั้นก็พลิกตัวลงจากเตียงด้วยความระมัดระวัง จูงมือเฉินมู่กลับไปเปลี่ยนเสื้อผ้าที่ห้องของเธอ
เขาเปลี่ยนเสื้อผ้าให้เฉินมู่เรียบร้อยแล้ว ก็ให้คนรับใช้พาเธอลงไปกินข้าวเช้า
ก่อนลงไปชั้นล่าง เฉินมู่มองไปทางห้องนอนของเฉินถิงเซียวด้วยท่าทางที่ไม่ยินยอมเป็นอย่างมาก เอ่ยเสียงเบาว่า “คุณแม่ก็ต้องกินข้าวเช้า”
“หนูกินก่อน”
คำพูดเรียบง่ายธรรมดาของเฉินถิงเซียว ทำให้เฉินมู่ไม่กล้าเอ่ยอีก
หลังจากเห็นคนรับใช้พาเฉินมู่ลงไปที่ชั้นล่างแล้ว เฉินถิงเซียวถึงได้กลับไปที่ห้อง
มู่น่อนน่อนยังคงหลับลึกอยู่
เฉินถิงเซียวเดินไปมองเธอที่ข้างเตียงครู่หนึ่ง ถึงได้เปลี่ยนเสื้อผ้าแล้วลงไปที่ชั้นล่าง
ตอนที่เขาลงไป คนรับใช้กำลังป้อนข้าวเช้าให้กับเฉินมู่
เฉินมู่สายตาดี เธอเห็นเฉินถิงเซียวลงมา ก็รีบแย่งช้อนในมือของคนรับใช้มากินเองทันที มองดูแล้วเชื่อฟังเป็นอย่างมาก
แน่นอนว่าเฉินถิงเซียวเห็นการกระทำของเธอ แต่ก็ไม่ได้พูดอะไร
สองพ่อลูกนั่งประจันหน้ากัน และกินข้าวเช้าของตัวเองไปโดยไม่เอ่ยพูดอะไร
ตอนที่ใกล้จะกินเสร็จ มู่น่อนน่อนก็ลงมา
เธอเดินเข้ามาด้วยใบหน้าที่ไร้ซึ่งการแต่งเติม ตรงไปนั่งข้างเฉินมู่ จนทำให้สายตาของเฉินถิงเซียวเต็มไปด้วยความไม่พอใจ
มู่น่อนน่อนแสร้งทำเป็นไม่เห็น หันหน้าไปมองเฉินมู่ “ว้าว มู่มู่กินเยอะขนาดนี้เลยหรือจ๊ะ?”
“อืม” เฉินมู่พยักหน้า และตักโจ๊กช้อนหนึ่งยื่นไปที่ริมฝีปากของมู่น่อนน่อน
แต่ว่า เธอจับได้ไม่มั่นคง ระหว่างทางจึงหกลงบนโต๊ะอาหารเล็กน้อย
มู่น่อนน่อนยิ้ม จับมือเธอเอาไว้ และยื่นช้อนไปที่ริมฝีปากเธอ เอ่ยด้วยน้ำเสียงอ่อนโยนว่า “หนูกินเถอะ แม่ก็มีเหมือนกัน”
เพิ่งจะสิ้นสุดเสียง บนโต๊ะอาหารก็มีเสียง “เคร้ง” ดังขึ้น
มู่น่อนน่อนเหลือบตาขึ้นมองไป ก็พบว่าเฉินถิงเซียววางช้อนในมือกระแทกกับโต๊ะอย่างแรง
มู่น่อนน่อนใช้สายตาถามเขา กินข้าวเช้าดีๆไปสิ โมโหอะไร?
“ไม่มีอะไร” เฉินถิงเซียวก้มหน้าด้วยสีหน้าไร้ความรู้สึก
เขาไม่เคยเห็นมู่น่อนน่อนผู้หญิงคนนี้ใช้น้ำเสียงที่อ่อนโยนแบบนี้คุยกับเขาเหมือนกับตอนที่คุยกับเฉินมู่
เหอะ ผู้หญิงคนนี้!
.......
มู่น่อนน่อนก็ไม่รู้ว่าเฉินถิงเซียวโมโหเรื่องอะไร กินอาหารเช้าเสร็จก็ไม่คุยกับเธอสักประโยค ตรงไปที่บริษัททันที
ประกอบกับที่ฉินสุ่ยซานโทรศัพท์มาคุยเรื่องบทละครพอดี มู่น่อนน่อนจึงกลับไปที่ห้องพักที่ตัวเองเช่าเอาไว้ นำคอมพิวเตอร์โน้ตบุ๊คไปหาฉินสุ่ยซานที่สตูดิโอทำงานของเธอ
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ฉัน....เป็นเจ้าสาวจอมปลอม
พระเอกชอบใช้อำนาจบังคับ ไม่ฟังความคิดเห็นนางเอก พอมีปัญหา แทนที่จะอธิบายว่าจะทำอะไร กลับเลือกที่จะปิดปังและทำร้ายจิตใจ ไม่น่าให้อภัยอ่ะ น่าจะต่างคนต่างอยู่ ขัดใจว่าทำไมปล่อยให้ลูกทารกโดนลักพาตัวไปได้ โคตรไม่รอบคอบอ่ะ เรื่องไอ้ลู่ก็เหมือนกัน นาวเอกโง่จนไม่เห็นความไม่สมเหตุสมผลใดๆ จนความจำกลับมา มันก็ต้องสงสัยแล้วป่ะว่าตอนก่อนจะเสียความทรงจำ ไอ้ลู่แอบเข้าไปในห้องตัวเองทำไม และต้องเอะใจและตัดความสัมพันธ์สิเพราะถามอะไรก็ไม่เคยตอบ พระเอกก็เหมือนกัน รู้สึกว่าไอ้ลู่มีจุดประสงค์ไม่ดี แต่ก็ไม่ทำอะไร ให้โอกาสมันก่อเรื่อง 3-4 บทสุดท้ายรวบรัดตัดจบมาก ปมต่างๆก็ไม่เคลียร์ ไม่รู้แม่พระเอกยังอยู่หรือตาย ทำไมไอ้ลู่ถึงเลี้ยงนางเอกมาตั้งสามปีแทนที่จะรีบเอาไปผ่าตัดให้น้องสาว ทำไมถึงพยายามจะให้พระเอกลืมนางเอกและทำร้ายนางเอก อ่านจนจบก็ไม่เห็นบอกว่ามีความแค้นอะไรกับพระเอก และทำไมมุ่งเป้ามาที่นางเอก และไอ้ปากกาหมึกซึมที่พระเอกเก็บไว้น่ะ ก็ไม่มีอธิบายเพิ่ม แค่เปรยว่านางเอกเคยเอาปากกาให้เด็กขอทาน ต่ไม่บอกว่ามันมีความสำคัญยังไง สรุปอ่านแล้วขัดใจหลายอย่างมากค่ะ...
ขอบคุณนะคะที่อัพจนจบ❤️❤️❤️...
แรกๆฉันเชียร์เธอหมดใจแต่มู่น่อนน่อนนี่เธอก็ดื้อเกินไปนะ รู้ทั้งรู้ยังจะชอบสร้างปัญหาซ้ำแล้วซ้ำอีก มั่นใจตัวเองอะไรผิดๆเกิ๊นนน ฉันเริ่มจะเบื่อเธอแล้วนะ เจอก็เจอแล้วแค่กลับไป แล้วยังจะคิดกลับไปให้เขาเฉือนอวัยวะไง!!!! ตัวเองจะไปสืบอะไรจากไหน?!!!...