ในเมื่อเฉินถิงเซียวพูดแบบนี้แล้ว ก็คงไม่อยากฟังที่คนอื่นพูดอีกแล้วล่ะ
สือเย่แม้จะมีใจ แต่ก็ไม่กล้าเอ่ยปากโน้มน้าวเขา
เรื่องนี้ แยกถูกผิดไม่ออกหรอก
เฉินถิงเซียวมีแผนของตัวเอง แม้จะไม่ได้ช่วยเฉินมู่ออกมา แต่ตอนนี้คือเขารู้ว่าเฉินมู่ปลอดภัยดี ดังนั้นถึงได้เกิดความลังเลขึ้นมาในใจ
ในใจเขา แม้ตำแหน่งของเฉินมู่จะอยู่หลังมู่น่อนน่อน แต่ก็ไม่ได้แปลว่าเขาไม่รักเฉินมู่ เขาไม่มีทางปล่อยให้ลูกสาวตัวเองเป็นอันตรายแล้วไม่สนใจอยู่แล้ว
เขารู้และมั่นใจว่าเฉินมู่ยังปลอดภัยดี ถึงได้ตัดสินใจยื้อเวลาไว้ก่อน อยากคิดแผนที่ปลอดภัยที่สุดให้ได้ก่อนค่อยลงมือ
แต่ความคิดมู่น่อนน่อนแตกต่างจากเขา ถึงแม้เฉินมู่จะไม่เป็นไร แต่ก็ยังอยู่ในอันตรายอยู่ ดังนั้น มู่น่อนน่อนเลยคิดไม่ได้และไม่ได้ใจเย็นมากพอเหมือนกับเฉินถิงเซียว
เธอแค่อยากเจอเฉินมู่เร็วๆ
สือเย่คิดไปด้วย และเดินเข้าไปในคฤหาสน์ด้วย
เขารับรู้ได้ถึงความเย็นชาและความกดดันที่แผ่ซ่านออกมาจากตัวของเฉินถิงเซียว เขาเดาว่าตอนนี้เฉินถิงเซียวยังโกรธอยู่
ส่วนโกรธเรื่องอะไรนั้น สือเย่ยังเดาไม่ออก
หรือเขาอาจจะโกรธคุณหญิงน้อย หรืออาจจะกำลังโกรธตัวเองอยู่
ทั้งสองเพิ่งเดินมาถึงหน้าประตูห้องโถง ทันใดนั้นเฉินถิงเซียวก็หยุดฝีเท้าแล้วเรียกเขา: “สือเย่”
เฉินถิงเซียวไม่ได้หันหน้ากลับไป สือเย่ได้ยินแล้วก็เงยหน้ามองแผ่นหลังของเขา
สือเย่มองเขาแล้วถามว่า: “ครับคุณผู้ชาย?”
เฉินถิงเซียวเงียบสักพักก็ถึงพูดเสียงต่ำว่า: “สั่งคนให้ตามไป”
“ตามใครครับ?” สือเย่ยังไม่ทันรู้สึกตัว
“นายว่าตามใครล่ะ?” เฉินถิงเซียวหันหน้ากลับไปมองเขาด้วยแววตาที่เย็นชา
สือเย่รู้สึกตัวขึ้นมาทันที เฉินถิงเซียวให้เขาสั่งคนตามรถของลี่จิ่วชังไปนี่เอง
สือเย่ยิ้มแล้วพูดอย่างเข้าใจว่า: “สั่งคนตามเขาไปแล้วครับ”
ในเรื่องที่เกี่ยวข้องกับมู่น่อนน่อน เขาเดาใจของเฉินถิงเซียวถูกตลอด แม้ภายนอกของเฉินถิงเซียวจะดูโกรธมาก แต่ถึงจะไม่สนใจแค่ไหน ก็ไม่มีทางโกรธมู่น่อนน่อนจนไม่สนใจเธอแน่นอน
เฉินถิงเซียวจ้องเขาแล้วหรี่ตาลงเล็กน้อย ดูสีหน้าอารมณ์บนใบหน้าไม่ออก
จนกระทั่งสือเย่ถูกเขาจ้องจนแผ่นหลังเย็นวาบ เขาถึงพูดว่า: “ตอนนี้นายคิดเองเออเองเก่งมากเลยนะ”
น้ำเสียงที่ทุ้มต่ำของเฉินถิงเซียวฟังไม่ออกว่าเขาอารมณ์ไหน แต่สือเย่ที่รู้จักเขาดี กลับได้ยินความโกรธที่ซ่อนไว้ภายใต้ความใจเย็น
“เรียนมาจากใคร? มู่น่อนน่อนใช่ไหม?” เฉินถิงเซียวแสยะยิ้มเย็นชา: “ดีมาก!”
พูดจบ เฉินถิงเซียวก็ก้าวเท้าเดินเข้าไปในห้องโถง
จนกระทั่งไม่เห็นแผ่นหลังของเฉินถิงเซียวแล้ว สือเย่ถึงถอนหายใจอย่างโล่งอก เช็ดเหงื่อบนหน้าผากออก แล้วพึมพำพูดว่า: “ทุกครั้งที่โกรธคุณหญิงน้อย ก็พานโกรธคนอื่นไปด้วยตลอดเลย……”
บอดี้การ์ดที่ตามอยู่ด้านหลังได้ยินคำพูดของสือเย่ ก็พูดอย่างเห็นด้วยว่า: “นั่นน่ะสิ คุณผู้ชายเขา……”
สือเย่หันกลับไปมองค้อนบอดี้การ์ด: “พูดอะไรน่ะ?”
บอดี้การ์ด: “……ไม่ได้พูดอะไรครับ”
……
รถสีดำขับอยู่ภายใต้ยามค่ำคืน ขับเคลื่อนอยู่บนเลนที่ไม่ใช่ของตัวเอง
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ฉัน....เป็นเจ้าสาวจอมปลอม
พระเอกชอบใช้อำนาจบังคับ ไม่ฟังความคิดเห็นนางเอก พอมีปัญหา แทนที่จะอธิบายว่าจะทำอะไร กลับเลือกที่จะปิดปังและทำร้ายจิตใจ ไม่น่าให้อภัยอ่ะ น่าจะต่างคนต่างอยู่ ขัดใจว่าทำไมปล่อยให้ลูกทารกโดนลักพาตัวไปได้ โคตรไม่รอบคอบอ่ะ เรื่องไอ้ลู่ก็เหมือนกัน นาวเอกโง่จนไม่เห็นความไม่สมเหตุสมผลใดๆ จนความจำกลับมา มันก็ต้องสงสัยแล้วป่ะว่าตอนก่อนจะเสียความทรงจำ ไอ้ลู่แอบเข้าไปในห้องตัวเองทำไม และต้องเอะใจและตัดความสัมพันธ์สิเพราะถามอะไรก็ไม่เคยตอบ พระเอกก็เหมือนกัน รู้สึกว่าไอ้ลู่มีจุดประสงค์ไม่ดี แต่ก็ไม่ทำอะไร ให้โอกาสมันก่อเรื่อง 3-4 บทสุดท้ายรวบรัดตัดจบมาก ปมต่างๆก็ไม่เคลียร์ ไม่รู้แม่พระเอกยังอยู่หรือตาย ทำไมไอ้ลู่ถึงเลี้ยงนางเอกมาตั้งสามปีแทนที่จะรีบเอาไปผ่าตัดให้น้องสาว ทำไมถึงพยายามจะให้พระเอกลืมนางเอกและทำร้ายนางเอก อ่านจนจบก็ไม่เห็นบอกว่ามีความแค้นอะไรกับพระเอก และทำไมมุ่งเป้ามาที่นางเอก และไอ้ปากกาหมึกซึมที่พระเอกเก็บไว้น่ะ ก็ไม่มีอธิบายเพิ่ม แค่เปรยว่านางเอกเคยเอาปากกาให้เด็กขอทาน ต่ไม่บอกว่ามันมีความสำคัญยังไง สรุปอ่านแล้วขัดใจหลายอย่างมากค่ะ...
ขอบคุณนะคะที่อัพจนจบ❤️❤️❤️...
แรกๆฉันเชียร์เธอหมดใจแต่มู่น่อนน่อนนี่เธอก็ดื้อเกินไปนะ รู้ทั้งรู้ยังจะชอบสร้างปัญหาซ้ำแล้วซ้ำอีก มั่นใจตัวเองอะไรผิดๆเกิ๊นนน ฉันเริ่มจะเบื่อเธอแล้วนะ เจอก็เจอแล้วแค่กลับไป แล้วยังจะคิดกลับไปให้เขาเฉือนอวัยวะไง!!!! ตัวเองจะไปสืบอะไรจากไหน?!!!...