ตอนที่มู่น่อนน่อนได้ยินฉินสุ่ยซานพูดประโยคแรก สีหน้าก็เปลี่ยนไปเล็กน้อยแล้ว
เห็นฉิยสุ่ยซานหน้าตาเหมือนเห็นผี มู่น่อนน่อนจึงลองพูดออกมาสองคำ
“ซูเหมียน?”
“คุณรู้ได้ยังไง” ฉินสุ่ยซานนั่งลงข้างมู่น่อนน่อน “เป็นซูเหมียนจริงๆ!”
มู่น่อนน่อนหันหน้าไปมองยังประตูทางเข้า แต่ฝูงชนออกันอยู่ เธอที่นั่งอยู่ตรงนั้น จึงไม่เห็นเฉินถิงเซียวกับซูเหมียนเลย
เธอเพ่งมองไปทางนั้น ค่อยๆ ลุกขึ้นยืน ค่อยๆ ขยับปรับชุดเดรสบนตัว
“คุณจะทำอะไร” ฉินสุ่ยซานเงยหน้าขึ้นมองการเคลื่อนไหวทั้งหมดของเธอ อดไม่ได้ที่จะเอ่ยถาม
“ไปดูหน่อย” มู่น่อนน่อนทิ้งประโยคนี้แล้วเดินเข้าไปยังที่ที่ฝูงชนรวมตัวกัน
ความหลงลืมของผู้คนนั้นยิ่งใหญ่ เพราะเรื่องการแต่งงานและหย่าร้างของเฉินถิงเซียว มู่น่อนน่อนจึงเคยเป็นจุดสนใจของผู้คน
แต่หลังจากเรื่องราวผ่านพ้นไป ความโด่งดังก็ลดน้อยถอยลง โดยธรรมชาติแล้วจึงจะไม่มีใครพูดถึงมู่น่อนน่อนอีก
ต่อให้มีหลายคนรู้จักมู่น่อนน่อน ก็ไม่ได้มีใจที่จะคิดและพูดอะไรมาก
ถึงอย่างไรคนที่โดดเด่นที่สุดในคืนนี้ ก็เป็นเฉินถิงเซียวกับซูเหมียน
ข้างๆ มีคนซุบซิบนินทาเฉินถิงเซียวกับซูเหมียน
“ก่อนหน้านี้เว่ยป๋อของตระกูลเฉินโพสต์ข้อความแล้วไม่ใช่เหรอว่าประธานของพวกเขาไม่ได้ชอบผู้หญิงแซ่ซู”
“ใครจะรู้ล่ะ บางทีรสนิยมของคุณชายเฉินอาจจะเปลี่ยนก็ได้”
“คุณซูคนนี้ รูปโฉมตระกูลไม่เลว ต่อให้เฉินถิงเซียวชอบเธอก็ไม่แปลกอะไร”
“พวกคุณพูดมากไปมีประโยชน์อะไร คอยดูต่อไปอีกหน่อย......”
“ใครว่าไม่ล่ะ”
สำหรับคำพูดของพวกเขา มู่น่อนน่อนฟังหูซ้ายทะลุหูขวา ฟังไปโดยไม่ใส่ใจเลย
สายตาของเธอทั้งหมดวางไว้ที่ตัวเฉินถิงเซียวกับซูเหมียนสองคนนั้น
สองคนเดินเคียงข้างกัน ซูเหมียนแม้ไม่มีการควงแขนเขา แต่สองคนใกล้ชิดกัน บนใบหน้าของเฉินถิงเซียวก็ไม่ได้มีแววขยะแขยงและรังเกียจ
สามารถเดินกับเฉินถิงเซียวได้ ก็เพียงพอจะทำให้คนจินตนาการไปไกลแล้ว
เฉินถิงเซียวสวมสูทสีเข้มเช่นปกติ สูงส่งสง่างาม ซูเหมียนแต่งองค์ทรงเครื่องพิถีพิถันตั้งแต่ศีรษะจดเท้า แม้แต่ชุดเดรสก็เป็นฝีมือของดีไซเนอร์ชื่อดัง แถมยังเป็นรุ่นลิมิเต็ดอิดิชัน
ถ้าหากจะเปรียบเทียบ ชุดบนตัวมู่น่อนน่อน ดูแสนจะธรรมดามาก
มู่น่อนน่อนยืนในฝูงชน ไม่มีความสะดุดตาแม้แต่น้อย
เธอแค่มองดูเงียบๆ แบบนั้น เฉินถิงเซียวกับซูเหมียนเดินอยู่ด้วยกัน เดินตรงผ่านหน้าเธอไป
มือที่ตกอยู่ข้างตัวกำกันแน่น
เฉินถิงเซียวอยู่ดีๆ ก็......มาพัวพันกับซูเหมียนอีกแล้วเหรอ
วันนั้นในวิลล่าของเฉินถิงเซียว ทั้งคู่พูดจากันด้วยคำพูดที่ใจร้ายกันไปไม่น้อย
ปกติเฉินถิงเซียวมักจะเผด็จการเสมอ แต่ก่อนหน้านี้ต่อให้ทะเลาะกันใหญ่โต ก็จะไม่ออกปากไล่เธอแบบนั้น
มู่น่อนน่อนรับรู้ถึงการตัดสินใจเด็ดขาดในน้ำเสียงของเขา ดังนั้นจึงไม่พูดอะไรมาก ไปเลยในทันที
ตั้งแต่เธอย้ายออกจากวิลล่าของเฉินถิงเซียวมาจนถึงตอนนี้ พยายามแล้วที่จะไม่ให้ตัวเองคิดถึงเฉินถิงเซียว เช่นเดียวกับแต่ละคำที่เฉินถิงเซียวพูด
เพียงแต่ เมืองหู้หยางมีขนาดเล็กเกินไป แม้แต่งงานกิจกรรม งานเลี้ยงอาหารค่ำ ก็ยังพบเจอเขาได้
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ฉัน....เป็นเจ้าสาวจอมปลอม
พระเอกชอบใช้อำนาจบังคับ ไม่ฟังความคิดเห็นนางเอก พอมีปัญหา แทนที่จะอธิบายว่าจะทำอะไร กลับเลือกที่จะปิดปังและทำร้ายจิตใจ ไม่น่าให้อภัยอ่ะ น่าจะต่างคนต่างอยู่ ขัดใจว่าทำไมปล่อยให้ลูกทารกโดนลักพาตัวไปได้ โคตรไม่รอบคอบอ่ะ เรื่องไอ้ลู่ก็เหมือนกัน นาวเอกโง่จนไม่เห็นความไม่สมเหตุสมผลใดๆ จนความจำกลับมา มันก็ต้องสงสัยแล้วป่ะว่าตอนก่อนจะเสียความทรงจำ ไอ้ลู่แอบเข้าไปในห้องตัวเองทำไม และต้องเอะใจและตัดความสัมพันธ์สิเพราะถามอะไรก็ไม่เคยตอบ พระเอกก็เหมือนกัน รู้สึกว่าไอ้ลู่มีจุดประสงค์ไม่ดี แต่ก็ไม่ทำอะไร ให้โอกาสมันก่อเรื่อง 3-4 บทสุดท้ายรวบรัดตัดจบมาก ปมต่างๆก็ไม่เคลียร์ ไม่รู้แม่พระเอกยังอยู่หรือตาย ทำไมไอ้ลู่ถึงเลี้ยงนางเอกมาตั้งสามปีแทนที่จะรีบเอาไปผ่าตัดให้น้องสาว ทำไมถึงพยายามจะให้พระเอกลืมนางเอกและทำร้ายนางเอก อ่านจนจบก็ไม่เห็นบอกว่ามีความแค้นอะไรกับพระเอก และทำไมมุ่งเป้ามาที่นางเอก และไอ้ปากกาหมึกซึมที่พระเอกเก็บไว้น่ะ ก็ไม่มีอธิบายเพิ่ม แค่เปรยว่านางเอกเคยเอาปากกาให้เด็กขอทาน ต่ไม่บอกว่ามันมีความสำคัญยังไง สรุปอ่านแล้วขัดใจหลายอย่างมากค่ะ...
ขอบคุณนะคะที่อัพจนจบ❤️❤️❤️...
แรกๆฉันเชียร์เธอหมดใจแต่มู่น่อนน่อนนี่เธอก็ดื้อเกินไปนะ รู้ทั้งรู้ยังจะชอบสร้างปัญหาซ้ำแล้วซ้ำอีก มั่นใจตัวเองอะไรผิดๆเกิ๊นนน ฉันเริ่มจะเบื่อเธอแล้วนะ เจอก็เจอแล้วแค่กลับไป แล้วยังจะคิดกลับไปให้เขาเฉือนอวัยวะไง!!!! ตัวเองจะไปสืบอะไรจากไหน?!!!...