ฉีเฉิงมองไปทางห้องครัวแวบหนึ่ง
มู่น่อนน่อนกำลังผัดอาหารจานสุดท้าย จึงไม่ได้สังเกตมองมาฝั่งนี้ ต่อให้เธอจะสังเกตมองมา แต่ก็ยังขั้นด้วยระยะห่าง เธอจึงไม่ได้ยินในสิ่งฉีเฉิงสนทนากับเฉินมู่
ฉีเฉิงมองเฉินมู่อย่างสนใจ คุยด้วยน้ำเสียงเย็นชาเช่นอย่างเคย “หนูรู้ได้ยังไง”
“หนูรู้อยู่แล้วค่ะ” เฉินมู่หันหน้ามาเล่นกับตุ๊กตาในมือต่อ โดยที่ไม่สนใจฉีเฉิงอีก
ฉีเฉิงเดิมทีก็เป็นคนพูดน้อย จึงไม่ได้พูดอะไรกับเฉินมู่อีก
เขาหยิบโทรศัพท์ออกมา หาหมายเลขติดต่อหมายเลขหนึ่งจากสมุดรายชื่อ แล้วก็ส่งข้อความออกไป
ไม่นานมู่น่อนน่อนก็ผัดอาหารจานสุดท้ายเสร็จ จากนั้นก็ยกมาเสิร์ฟบนโต๊ะ
เธอหันไปเรียกทางฝั่งนั้น “ทานข้าวจ้ะ”
ฉีเฉิงกับเฉินมู่ทั้งคู่จึงต่างเดินเข้ามา
เฉินมู่เดินมาแล้วก็ปีนขึ้นไปบนเก้าอี้ตัวน้อย ๆ ของตัวเอง แล้วนั่งรออาหารของตัวเองอย่างเชื่อฟัง
“ผัดอาหารง่าย ๆ สองสามอย่าง” มู่น่อนน่อนยิ้มแล้วพูดกับฉีเฉิงจน พูดจบก็คีบอาหารให้กับเฉินมู่
ฉีเฉิงพยักหน้า เห็นมู่น่อนน่อนเริ่มขยับตะเกียบ เขาก็เริ่มก้มหน้าทานอาหาร
เพียงแต่ว่า เขาทานอาหารค่อนข้างเร็ว
มู่น่อนน่อนใช้เวลาเพียงสั้น ๆ ในการคีบอาหารให้กับเฉินมู่ จากนั้นก็หันหน้ามาอีกที ก็เห็นข้าวในถ้วยของฉีเฉิงหายไปเกือบครึ่งหนึ่ง
มู่น่อนน่อนจึงเปล่งเสียงกล่าวขึ้น “คุณฉีมีธุระสำคัญอะไรที่ต้องเร่งเวลาหรือเปล่า ทำไมทานเร็วอย่างนี้”
“ชินแล้วครับ” ฉีเฉิงกล่าวอย่างคลุมเครีอ และก็ก้มหน้าทานอาหารต่อ
มู่น่อนน่อนตั้งใจสังเกตเวลา เธอพบว่าฉีเฉิงทานอาหารหนึ่งมื้อเสร็จ ใช้เวลาเพียงสิบนาที อีกทั้งยังทานข้าวเปล่าไปสองถ้วย
ฉีเฉิงทานเสร็จก็ลุกขึ้น “ขอบคุณที่เลี้ยงครับ”
เขาพูดเสร็จแล้วทำท่าจะจากไป มู่น่อนน่อนจึงรีบลุกขึ้นแล้วกล่าวว่า “นั่งอยู่อีกสักพักหนึ่งสิ”
“ไม่ต้องครับ” หลังจากที่ปฏิเสธอย่างตรงไปตรงมา เขาก็ได้จากไป
ทันที่ที่ฉีเฉิงจากไป มู่น่อนน่อนก็จ้องมองไปยังถ้วยของฉีเฉิง แล้วก็ตกอยู่ในห้วงความคิด
ก่อนหน้านี้เฉินจิ่งหยุ้นพักอาศัยอยู่ในเมืองเล็ก ๆ มู่น่อนน่อนไปหาเฉินมู่นั้น เคยทานอาหารพร้อมกับฉีเฉิง ตอนนั้นถึงแม้ว่าเขาจะทานอาหารเร็วเช่นกัน แต่ก็ไม่ได้เร็วขนาดนี้
ประหนึ่งมีคนแย่งเขาทานก็ไม่ปาน และก็เหมือนกับรีบ ๆ ทานให้เสร็จจะได้จากไป
หรือว่าฉีเฉิงนั้นไม่อยากจะอยู่กับเธอที่นี่นาน ๆ ?
มู่น่อนน่อนส่ายหน้า รู้สึกว่าตัวเองนั้นคิดมากเกินไป
จะต้องเป็นคำพูดของเสิ่นเหลียงก่อนหน้านี้ ที่ทำให้เธอเกิดความคิดโยงไปโยงมาเช่นนี้
……
เสิ่นเหลียงนัดกู้จือหยั่นเจอกันที่โรงแรมจีนติ่ง กู้จือหยั่นย่อมต้องไปก่อนเวลาอยู่แล้ว
เมื่อเสิ่นเหลียงใกล้จะถึงนั้น กู้จือหยั่นก็ได้สั่งอาหารที่เสิ่นเหลียงชอบทานมาให้เธอ
ตอนที่เสิ่นเหลียงมาถึงนั้น อาหารเหล่านั้นได้เสิร์ฟลงบนโต๊ะแล้ว
กู้จือหยั่นเดินมาด้านหน้าช่วยเธอดึงเก้าอี้ “ยังไม่ทานอาหารใช่ไหม ผมได้สั่งอาหารไว้แล้ว รีบมาทานเร็ว”
เสิ่นเหลียงกวางมองอาหารบนโต๊ะ จากนั้นก็หรี่ตาลง ซ่อนอารมณ์ในดวงตาไว้
เธอไม่ได้พูดอะไรมาก นั่งลงแล้วหยิบตะเกียบจากนั้นเริ่มลงมือทาน
เธอนั้นยังไม่ทานอาหารเย็นจริง ๆ จึงรู้สึกหิวนิดหน่อย
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ฉัน....เป็นเจ้าสาวจอมปลอม
พระเอกชอบใช้อำนาจบังคับ ไม่ฟังความคิดเห็นนางเอก พอมีปัญหา แทนที่จะอธิบายว่าจะทำอะไร กลับเลือกที่จะปิดปังและทำร้ายจิตใจ ไม่น่าให้อภัยอ่ะ น่าจะต่างคนต่างอยู่ ขัดใจว่าทำไมปล่อยให้ลูกทารกโดนลักพาตัวไปได้ โคตรไม่รอบคอบอ่ะ เรื่องไอ้ลู่ก็เหมือนกัน นาวเอกโง่จนไม่เห็นความไม่สมเหตุสมผลใดๆ จนความจำกลับมา มันก็ต้องสงสัยแล้วป่ะว่าตอนก่อนจะเสียความทรงจำ ไอ้ลู่แอบเข้าไปในห้องตัวเองทำไม และต้องเอะใจและตัดความสัมพันธ์สิเพราะถามอะไรก็ไม่เคยตอบ พระเอกก็เหมือนกัน รู้สึกว่าไอ้ลู่มีจุดประสงค์ไม่ดี แต่ก็ไม่ทำอะไร ให้โอกาสมันก่อเรื่อง 3-4 บทสุดท้ายรวบรัดตัดจบมาก ปมต่างๆก็ไม่เคลียร์ ไม่รู้แม่พระเอกยังอยู่หรือตาย ทำไมไอ้ลู่ถึงเลี้ยงนางเอกมาตั้งสามปีแทนที่จะรีบเอาไปผ่าตัดให้น้องสาว ทำไมถึงพยายามจะให้พระเอกลืมนางเอกและทำร้ายนางเอก อ่านจนจบก็ไม่เห็นบอกว่ามีความแค้นอะไรกับพระเอก และทำไมมุ่งเป้ามาที่นางเอก และไอ้ปากกาหมึกซึมที่พระเอกเก็บไว้น่ะ ก็ไม่มีอธิบายเพิ่ม แค่เปรยว่านางเอกเคยเอาปากกาให้เด็กขอทาน ต่ไม่บอกว่ามันมีความสำคัญยังไง สรุปอ่านแล้วขัดใจหลายอย่างมากค่ะ...
ขอบคุณนะคะที่อัพจนจบ❤️❤️❤️...
แรกๆฉันเชียร์เธอหมดใจแต่มู่น่อนน่อนนี่เธอก็ดื้อเกินไปนะ รู้ทั้งรู้ยังจะชอบสร้างปัญหาซ้ำแล้วซ้ำอีก มั่นใจตัวเองอะไรผิดๆเกิ๊นนน ฉันเริ่มจะเบื่อเธอแล้วนะ เจอก็เจอแล้วแค่กลับไป แล้วยังจะคิดกลับไปให้เขาเฉือนอวัยวะไง!!!! ตัวเองจะไปสืบอะไรจากไหน?!!!...