เสิ่นเหลียงยิ่งอ่านเสียงก็ยิ่งเบาลง จนกระทั่งเสียงหายไป
เธอเงยหน้าขึ้นมองมู่น่อนน่อนด้วยความมึนงง กล่าวเบา ๆ “ฉันรู้สึกว่าข่าวนี้ไม่มีความน่าเชื่อถือ ตอนนี้สำนักนักข่าวส่วนใหญ่เพื่อให้มีผู้เข้าชมติดตาม มักจะเขียนบล็อกโพสต์ต่าง ๆ มั่ว ๆ ถูกไหมน่อนน่อน”
มู่น่อนน่อนคลิกคลิปด้านล่างขึ้น
เพราะว่าเป็นการแอบถ่าย ดังนั้นคลิปจึงค่อนข้างเบลอ แต่สามารถมองออกว่าเป็นเฉินถิงเซียว
ในคลิป เฉินถิงเซียวออกมาจากตึกแห่งหนึ่ง และด้านหลังของเขาที่ตามมาด้วยก็คือซูเหมียน
ฉากหลังเป็นย่านชุมชนไฮโซ น่าจะเป็นด้านนอกที่อยู่อาศัยของซูเหมียน
มู่น่อนน่อนดูคลิปวิดีโอนั้นซ้ำไปซ้ำมาหลายรอบ
เสิ่นเหลียงเห็นเธอเป็นแบบนี้ รู้สึกทุกข์ใจสงสารมาก จึงหยิบโทรศัพท์ของเธอมา “น่อนน่อน ไม่ต้องดูแล้ว”
มู่น่อนน่อนไม่ได้สังเกตเห็นถึงน้ำเสียงที่สงสารของเสิ่นเหลียง เธอหยิบโทรศัพท์มา แล้วเปิดคลิปขึ้น เล่นได้เพียงครึ่งคลิปก็กดปุ่มหยุด
จากนั้นเธอก็ยื่นโทรศัพท์มาที่ด้านหน้าของเสิ่นเหลียง “เธอรู้ไหมว่าชุมชนที่ที่ซูเหมียนพักอยู่อาศัยนี้คือที่ไหน”
เสิ่นเหลียงมองมู่น่อนน่อนด้วยความสงสัยครู่หนึ่ง แต่ก็ก้มหน้าดูชุมชนในคลิปอย่างละเอียด วิเคราะห์ดูว่าที่นี่คือที่ไหน
มองดูอยู่ครู่หนึ่ง เสิ่นเหลียงเงยหน้าขึ้น “เขตชุมชนนี้ฉันรู้จัก ก่อนหน้านี้ตอนที่ฉันซื้อบ้านนั้น ก็เคยมาดูที่แถวนี้ แต่ว่าต่อมาเพราะอยู่ห่างไกลจากบริษัทเกินไป ก็เลยไม่ได้เลือกที่นี่……”
ก่อนหน้านี้มู่น่อนน่อนเคยถามฉินสุ่ยซานถึงที่อยู่ของซูเหมียน เป็นสถานที่เดียวกันกับที่เสิ่นเหลียงบอกเธอ
“เธอจะทำอะไร” เสิ่นเหลียงเห็นท่าทางครุ่นคิดของมู่น่อนน่อน มักรู้สึกว่ามู่น่อนน่อนกำลังคิดอะไรบางอย่างอยู่
มู่น่อนน่อนเก็บโทรศัพท์เก็บไว้ที่เดิม เงยหน้าขึ้น “พิสูจน์เรื่องบางอย่าง”
“พิสูจน์เรื่องอะไรทำไมถึงต้องการที่อยู่ของซูเหมียน” เสิ่นเหลียงยิ่งอยู่ยิ่งรู้สึกว่าเธอเดาไม่ออกว่ามู่น่อนน่อนกำลังคิดอะไรอยู่
“ไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไรหรอก” มู่น่อนน่อนตบไหล่ของเธอ “วางใจได้ ไม่มีอะไรหรอก”
เสิ่นเหลียงถึงแม้จะไม่ค่อยวางใจ แต่เธอเชื่อมั่นมู่น่อนน่อน ไม่ว่าจะทำอะไรต้องมีความคิดเป็นของตัวเอง จึงไม่ได้ถามคำถามใด ๆ อีก
เสิ่นเหลียงได้ส่งของถึงที่แล้ว เล่นอยู่กับเฉินมู่อีกครู่หนึ่ง แล้วก็จากไป
……
ตอนเวลาค่ำ มู่น่อนน่อนกำลังเตรียมของที่จะทำอาหารในวันส่งท้ายปีเก่าของวันพรุ่งนี้ โทรศัพท์ได้ดังขึ้น
เป็นหมายเลขแปลกที่โทรเข้ามา
นานแล้วที่ไม่ได้รับหมายเลขที่ไม่รู้จัก
“ใครคะ” มู่น่อนน่อนถือโทรศัพท์คุยด้วยมือเดียว อีกข้างหนึ่งเปิดของอยู่ในตู้เย็น
เฉินถิงเซียวเคยบอกว่าในวันส่งท้ายปีเก่าเขานั้นไม่ว่าง เธอจึงไม่ต้องพาเฉินมู่กลับไป
ในวันส่งท้ายปีเก่าจึงมีเพียงเธอกับเฉินมู่สองคน แต่เธอก็ยังอยากจะทำอาหารเพิ่มนิดหน่อย
เพราะถึงอย่างไรก็เป็นอาหารคืนข้ามปี
“น่อนน่อน เย็นนี้มาทานอาหารที่บ้านสิ” เป็นเสียงของมู่สือยั่น
มู่สือยั่นสูดลมหายใจเข้าลึก ๆ น้ำเสียงหงุดหงิดเล็กน้อย “เธอไม่กลับมา” เขาใส่โทรศัพท์เข้าไปในกระเป๋า แล้วล้วงบุหรี่หนึ่งมวนขึ้นมาจุด
มู่ลี่เหยียนได้ยินว่ามู่น่อนน่อนไม่กลับมา จึงเสียงดังขึ้นทันที “ไม่กลับมา? แกโทรศัพท์ให้เธอกลับมาทานอาหารคืนส่งท้ายปี เธอกลับไม่กลับมา? เธอคิดว่าเธอยังเป็นคุณนายแห่งบริษัทเฉินซื่อหรือไง! ฮึ!”
สองปีมานี้บริษัทมู่ซื่อสภาพซบเซา อาการร่อแร่ ไม่ขนาดถึงตายแต่ผลงานก็ไม่ค่อยดีเท่าไหร่ ด้วยเหตุผลนี้มู่ลี่เหยียนจึงกลายเป็นคนที่อารมณ์หงุดหงิดง่ายขึ้น
มู่สือยั่นเห็นมู่ลี่เหยียนที่ฉุนเฉียวจนสีหน้าแย่ จึงรู้สึกหงุดหงิดรำคาญมาก
“ไม่ว่าน่อนน่อนเธอจะเป็นคุณนายของเฉินซื่อหรือไม่ เธอก็เป็นลูกสาวของพ่อ!” มู่สือยั่นดูดบุหรี่เข้าแรง ๆ หนึ่งที น้ำเสียงที่ไม่ค่อยเข้าใจ “ต่อให้พ่อแทบอยากจะให้เธอตาย บนตัวของเธอก็มีเลือดของพ่อไหลเวียนอยู่”
เขาไม่เข้าใจจริง ๆ ว่ามู่ลี่เหยียนกับมู่น่อนน่อนทำไมถึงเป็นเหมือนศัตรู
มู่ลี่เหยียนเบิกคู่ดวงตากว้าง แล้วกล่าวอย่างเคร่งขรึม “หวั่นขีต่างหากที่เป็นลูกสาวของฉัน!”
“อย่างนั้นพ่อรู้บ้างไหมว่าลูกสาวพ่อทำอะไรไว้บ้าง ฆ่าคน ใช้สารเสพติด มั่วสุมกาม ทั้งหมดนี้ล้วนเป็นลูกสาวคนดีที่พ่อสั่งสอนมา!” มู่สือยั่นได้สืบพฤติกรรมทั้งหมดของมู่หวั่นขีอย่างแจ่มแจ้มมาก่อนหน้านี้แล้ว
เมื่อก่อนแม้ว่าเขาจะค่อนข้างเกเรทำตัวเหลวไหล แต่สิ่งเสพติดเหล่านั้นก็ไม่เคยคิดแตะต้อง ไม่เหมือนกับมู่หวั่นขีที่ไม่รู้จักขอบเขต
เพี้ยะ!
มู่ลี่เหยียนง้างมือขึ้นมาตบมู่สือยั่นไปหนึ่งฉาด “สารเลว!”
มู่ลี่เหยียนตบอย่างแรง เพียงแค่ตบเดียวมู่สือยั่นถึงกับหหน้าหันขวับไปอีกทาง ไม่กี่วิผ่านไปเขาถึงได้มีปฏิกิริยาตอบสองขึ้นและขยับกรามและคางขึ้น
เขามองมู่ลี่เหยียนด้วยสีหน้าที่แดกดัน “หลายปีมานี้บริษัทมู่ซื่อมีแต่ดิ่งลงเหว ผลิตภัณฑ์ใหม่ของพวกเรากำลังจะเปิดตัว แต่กลับไม่มีปัญญาจ้างดาราแถวหน้ามาเป็นพรีเซนเตอร์ ละครของน่อนน่อนเป็นที่นิยมชมชอบ ในเส้นทางบันเทิงจะต้องมีคอนเนคชั่นดี ๆ มากมาย เวลาเช่นนี้ ถ้าหากว่าเธอเต็มใจช่วยพวกเรา สถานการณ์ของพวกเราก็คงจะมีพลิกผันเป็นดีขึ้น”
เมื่อเขาพูดจบ ก็ยิ้มเยาะ จากนั้นก็โยนก้นบุหรี่ลงบนพื้น แล้วสะบัดแขนเสื้อจากไป
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ฉัน....เป็นเจ้าสาวจอมปลอม
พระเอกชอบใช้อำนาจบังคับ ไม่ฟังความคิดเห็นนางเอก พอมีปัญหา แทนที่จะอธิบายว่าจะทำอะไร กลับเลือกที่จะปิดปังและทำร้ายจิตใจ ไม่น่าให้อภัยอ่ะ น่าจะต่างคนต่างอยู่ ขัดใจว่าทำไมปล่อยให้ลูกทารกโดนลักพาตัวไปได้ โคตรไม่รอบคอบอ่ะ เรื่องไอ้ลู่ก็เหมือนกัน นาวเอกโง่จนไม่เห็นความไม่สมเหตุสมผลใดๆ จนความจำกลับมา มันก็ต้องสงสัยแล้วป่ะว่าตอนก่อนจะเสียความทรงจำ ไอ้ลู่แอบเข้าไปในห้องตัวเองทำไม และต้องเอะใจและตัดความสัมพันธ์สิเพราะถามอะไรก็ไม่เคยตอบ พระเอกก็เหมือนกัน รู้สึกว่าไอ้ลู่มีจุดประสงค์ไม่ดี แต่ก็ไม่ทำอะไร ให้โอกาสมันก่อเรื่อง 3-4 บทสุดท้ายรวบรัดตัดจบมาก ปมต่างๆก็ไม่เคลียร์ ไม่รู้แม่พระเอกยังอยู่หรือตาย ทำไมไอ้ลู่ถึงเลี้ยงนางเอกมาตั้งสามปีแทนที่จะรีบเอาไปผ่าตัดให้น้องสาว ทำไมถึงพยายามจะให้พระเอกลืมนางเอกและทำร้ายนางเอก อ่านจนจบก็ไม่เห็นบอกว่ามีความแค้นอะไรกับพระเอก และทำไมมุ่งเป้ามาที่นางเอก และไอ้ปากกาหมึกซึมที่พระเอกเก็บไว้น่ะ ก็ไม่มีอธิบายเพิ่ม แค่เปรยว่านางเอกเคยเอาปากกาให้เด็กขอทาน ต่ไม่บอกว่ามันมีความสำคัญยังไง สรุปอ่านแล้วขัดใจหลายอย่างมากค่ะ...
ขอบคุณนะคะที่อัพจนจบ❤️❤️❤️...
แรกๆฉันเชียร์เธอหมดใจแต่มู่น่อนน่อนนี่เธอก็ดื้อเกินไปนะ รู้ทั้งรู้ยังจะชอบสร้างปัญหาซ้ำแล้วซ้ำอีก มั่นใจตัวเองอะไรผิดๆเกิ๊นนน ฉันเริ่มจะเบื่อเธอแล้วนะ เจอก็เจอแล้วแค่กลับไป แล้วยังจะคิดกลับไปให้เขาเฉือนอวัยวะไง!!!! ตัวเองจะไปสืบอะไรจากไหน?!!!...