ชีวิตใหม่ของเจ้าแก้มก้อน นิยาย บท 129

ในห้องเรียนชุลมุนวุ่นวายสุด ๆ

หยางหยางทั้งร้องไห้ทั้งด่าไปด้วย

ซู่เป่ารู้สึกคันยิบ ๆ บนหน้าเลยยกมือขึ้นคลำดู…

จี้ฉางเห็นว่าใบหน้าเธอถูกข่วนจนเลือดซิบ

จี้ฉางสีหน้าเย็นชา “เจ้าเด็กเคราะห์ร้ายคนนี้ ย่าของเขาคือใคร ข้าจะไปหาคืนนี้เลย!”

ลูกพ่อแม่ไม่สั่งสอน พอเห็นเด็กเหลือขอคนนี้ด่าออกแต่ละคำ เดาว่าคงจะเรียนมาจากย่าของเขาสินะ

ซู่เป่าจัดการเด็กแล้ว

อย่างนั้นเขาก็ต้องไปจัดการคนแก่บ้าง

ไม่ใช่แค่คนแก่ รอก่อนเถอะเขาจะไปหายันพวกที่อยู่ในหลุม

เช็คบิลให้หมด!

**

จู่ ๆ ก็เกิดเรื่องไม่คาดคิด นายหญิงซูเพิ่งจะกลับมาถึงบ้าน โรงเรียนอนุบาลก็โทรมาหาแล้ว

“อะไรนะ ทะเลาะวิวาท”

หลังจากที่นายหญิงซูวางสาย ก็รีบตามคุณท่านซูไปที่โรงเรียนอนุบาลทันที

ระหว่างทางก็โทรหาซูอีเฉิน

“อะไรนะ ทะเลาะวิวาท ซู่เป่าได้รับบาดเจ็บไหม”

ประโยคแรกที่ลุงใหญ่ถามก็คือซู่เป่าได้รับบาดเจ็บไหม

หลังจากนั้นก็ทิ้งการประชุมกลางคัน แล้วก็รีบเดินทางไปโรงเรียนอนุบาลทันที

ระหว่างทางซูอีเฉินก็โทรหามู่กุยฝาน

“อะไรนะ ทะเลาะวิวาท ซู่เป่าชนะไหม”

ประโยคแรกของมู่กุยฝานคือซู่เป่าชนะไหม

ซูอีเฉิน “……#@¥#”

“ความผิดเขาเอง เขาไม่คิดว่ามู่กุยฝานจะมาไม้นี้”

หลังจากมู่กุยฝานวางสายลงก็ถอนหายใจ ก็รู้อยู่แล้วว่าเด็กอนุบาลทะเลาะกันคงไม่ร้ายแรงถึงชีวิตหรอก

ในเมื่อไม่ได้ร้ายแรงถึงชีวิต แน่นอนก็ต้องถามว่าชนะไหม

ถ้าหากชนะ ต่อให้เจ็บ ฝ่ายตรงข้ามก็ต้องเจ็บกว่าซู่เป่าแน่นอน

ถ้าหากได้รับบาดเจ็บ ฝ่ายตรงข้ามก็ต้องได้รับบาดเจ็บมากกว่าอย่างแน่นอน

ไม่ว่าอย่างไรฝ่ายเราจะไม่เสียเปรียบแม้แต่นิดเดียว!

**

คนขับรถของตระกูลซูเหยียบคันเร่งจนรถแทบจะบิน

ชวีเสี่ยงก็เหยียบคันเร่งมิดไมล์ภายใต้สายตาดุดันของซูอีเฉิน

รถออฟโรดของมู่กุยฝานก็ยิ่งเจ๋งไปเลย ขับอย่างบ้าระห่ำปาดซ้ายทีขวาทีตลอดเส้นถนนบายพาส

หนึ่งชั่วโมงต่อมา คุณท่านซูกับนายหญิงซู ซูอีเฉิน และมู่กุยฝาน ทุกคนมาถึงที่โรงเรียนอนุบาลพร้อมกันราวกับมารวมตัวกันประชุม

ทุกคนย่างก้าวเข้ามาในโรงเรียนอนุบาลหน้าตาบึ้งตึง และสายตาเย็นชา

“……” ผอ.ซวยแล้ว

โอ๊ย ๆ อยากจะร้อง

เหมือนที่คิดไว้ไม่มีผิดเลย กลัวอะไรก็ได้อย่างนั้น

ในที่สุดมู่กุยฝานก็เจอซู่เป่าที่ห้องสำนักงาน พร้อมทั้งเด็กผู้ชายที่ทะเลาะวิวาทกับเธอ

หน้าของยัยหนูถูกข่วนเป็นรอยแดงหลายรอยจนเลือดซิบ มีร่องรอยทาเบตาดีนฆ่าเชื้อมาแล้วนิดหน่อย มันดูค่อนข้างร้ายแรงเลยในคราแรกที่เห็น

บนใบหน้าเด็กผู้ชายคนนั้นก็มีสีที่มาจากการเช็ดเบตาดีนเหมือนกัน และยังคงสะอึกสะอื้นเป็นช่วง ๆ

ซู่เป่านั่งอยู่บนโซฟา ประสานมือวางบนเข่าอย่างเรียบร้อย

ทว่ากลับพูดอย่างฉุนเฉียว “นายถนัดตีคนอื่นนี่ เก่งนักก็อย่าร้องสิ”

“ฉันจะให้ย่าของฉันตีเธอให้ตาย!”

ซู่เป่าถอนหายใจ หันหน้าไปเจอมู่กุยฝานเดินเข้ามา ทันใดนั้นก็เบะปาก ตะโกนด้วยความรู้สึกผิด

“พ่อ!”

เมื่อกี้ยังไม่รู้สึกผิดเลย

ไม่รู้ว่าเพราะอะไรพอเห็นพ่อ ลุงใหญ่ คุณตา และคุณยายมาแล้ว ก็รู้สึกผิดขึ้นมา

มู่กุยฝานเดินขึ้นมาข้างหน้าสองก้าว อุ้มซู่เป่าขึ้นมาตรวจเช็คอย่างละเอียด

“ได้ยินมาว่าลูกทะเลาะวิวาทเหรอ”

ซู่เป่าหวาดผวา “อืม...”

“ชนะไหม”

ดวงตาทั้งคู่ของซู่เป่าส่องแสงประกายขึ้นทันที ชูหมัดน้อย ๆ ของเธอขึ้นมา “ชนะค่ะ!”

ผอ.และครูคนอื่น “……”

ผู้ปกครองของหยางหยางยังมาไม่ถึง พอเห็นความสูงพ่อของซู่เป่าถึงกลับผวา ถูกขู่โดยไม่รู้ตัวจนไม่กล้าแม้แต่จะส่งเสียง

มู่กุยฝานมองไปรอบ ๆ แล้วยิ้มอย่างเย็นชา

“ซู่เป่า ลูกต้องจำไว้นะ พวกเราจะไม่รังแกคนอื่น”

“แต่ถ้าหากคนอื่นกล้ามารังแกพวกเรา พวกเราก็จะต้องทำให้เขารู้ว่า พวกเราจะไม่ยอมถูกรังแกได้ง่าย ๆ”

“เข้าใจไหม”

“อื้ม ๆ ๆ เข้าใจแล้วค่ะ!”

คุณท่านซูเพียงถามเสียงเย็นชา “เกิดอะไรขึ้น” ทว่าตอนคุณท่านซูทำหน้านิ่งเย็นชาก็แผ่รังสีน่ากลัวเป็นพิเศษ

“เรื่องนี้ คือว่า...ท่านฟังฉันอธิบาย...ครูฮวา...เธอมาเล่าสิ!”

ครูฮวาตัวสั่น ทำได้เพียงแค่กัดฟันเล่า “ตอนเข้าเรียนหยางหยางค่อนข้างดื้อ ดึงกิ๊บ และผมของซู่เป่า ซู่เป่าโมโหก็เลยลงไม้ลงมือ”

ครูฮวาปาดเหงื่อที่ผุดบนหน้าผาก

ถ้าพูดขึ้นมาจริง ๆ ฝ่ายที่ผิดไม่ใช่ซู่เป่า…

ซู่เป่าอดทนมาสามครั้ง ครั้งที่สามถึงลงไม้ลงมือ

ทว่ายังพูดไม่ทันจบ หญิงชราผมขาวเต็มหัวก็ผลักประตูเข้ามา ปั้ง!

เธอได้ยินสิ่งที่ครูฮวาอธิบายพอดี ไม่ถามอะไรแม้แต่คำเดียวก็เริ่มบ่น

“อ๋อ แค่ดึงผมเบา ๆ ก็ถึงขั้นต้องลงไม้ลงมือทำร้ายกันเลยเหรอ เป็นใคร ลุกขึ้นยืนให้ฉันดูสิ ให้ฉันดูคนสารเลวที่โหดร้ายขนาดนี้สักหน่อยสิ”

หยางหยางรีบวิ่งไป ร้องสนั่น “ย่า เธอทำร้ายผม แล้วยังเตะเข่าผมอีก เจ็บมาก ๆ เลยครับ”

หญิงชราด่าด้วยความโมโห “มันกลับกันไปหมดแล้ว หลานหัวแก้วหัวแหวนของฉันก็กล้าดีมาทำร้ายเหรอ มันไม่มีเหตุผลเลย ผู้ปกครองสอนมาอย่างไรกัน”

มู่กุยฝานที่อุ้มซู่เป่าอยู่ มองต่ำลงมาที่หญิงชราที่สูงราวหนึ่งเมตรครึ่ง พูดเยาะเย้ย

“มา ไหนลองบอกเหตุผลให้ผมฟังหน่อยสิ”

เดิมทีคิดว่าผู้ปกครองของอีกฝ่ายจะพูดจามีเหตุผล อย่างนั้นทุกคนก็ค่อย ๆ พูดด้วยเหตุผล อันที่จริงแล้วเด็ก ๆ ทะเลาะกันก็เป็นเรื่องปกติ

ทว่าใครจะไปรู้ว่าพอมาถึงยังไม่ทันยืนให้นิ่ง ก็ด่าก่อนแล้วโยนความผิดต่าง ๆ มาที่ซู่เป่า

หญิงชราร่างเล็กเงยหน้าขึ้นด้วยความลำบาก ถึงจะมองเห็นมู่กุยฝานที่สูงราวกับเสาไฟฟ้า คนแปลกหน้าที่ไม่รู้จักมาก่อน

ไฟในอกก็ยิ่งพร้อมปะทุยิ่งขึ้น

“พวกคุณทำร้ายคนมีเหตุผลไหมล่ะ”

ครูฮวาก็รีบอธิบาย “คุณย่าของหยางหยางเข้าใจผิดแล้วค่ะ เริ่มแรกตั้งแต่ตอนทานอาหารเช้าหยางหยางล้อซู่เป่า พอถึงตอนซู่เป่าแนะนำตัวก็ก่อกวนอีก สุดท้ายก็มาดึงผมของซู่เป่า ซู่เป่าถึงอดทนไม่ไหวค่ะ”

หญิงชราถึงกับสตั้น

กลับโกรธเป็นฟืนเป็นไฟ “พูดหน่อยเดียวเป็นอะไรไป เด็กเล็กจะพูดอะไรไม่ดีได้แค่ไหนเชียว แค่นี้ก็ทำร้ายคนอื่นแล้ว นี่มันใจแคบเกินไปแล้วมั้ง”

“อีกอย่างดึงผม มีเด็กผู้ชายคนไหนไม่ซนบ้าง ดึงสักหน่อยก็ไม่เป็นไรหรือป่าว แค่นี้ก็ทำร้ายกันแล้วเหรอ”

ครูฮวา “……”

เป็นครูจะต้องไม่ลำเอียง ต้องแก้ไขความขัดแย้งของทั้งสองฝ่ายให้ได้

บางทีอาจเป็นเพราะซูเป่าไม่ดื้อ บางทีอาจเป็นเพราะหญิงชราพูดมากเกินไปจนทำให้คนอื่นโกรธ

ครูฮวาหยิบกิ๊บกระต่ายน้อยที่มีเส้นผมติดออกมาจากในมือ “หยางหยางดึงค่อนข้างแรงเลยนะคะ”

เพียงแค่เห็นกิ๊บกระต่ายน้อยที่มีเส้นผมติดพันอยู่ ก็สามารถจินตนาการได้เลยว่าตอนนั้นใช้แรงขนาดไหนดึงออกมา

มู่กุยฝานสีหน้าเย็นชา

สองตายายตระกูลซู และซูอีเฉินรู้สึกชาไปทั่วร่างกาย

ผอ.ตัวผอมแห้ง กระซิบ “ครูฮวา...”

ครูฮวาเก็บกิ๊บ สีหน้าไร้อารมณ์ “ตอนทานอาหารเช้า ซู่เป่ากินเยอะหน่อย หยางหยางก็แซว แซวว่าซู่เป่าเป็นยัยพุงโต กินเยอะขี้เยอะ กินอะไรก็ไม่เหลือเลย”

หญิงชรา “……”

ครูฮวาก็พูดอีก “ซู่เป่าเป็นนักเรียนที่ย้ายเข้ามาใหม่ วันนี้มาเป็นวันแรก ตอนแนะนำตัวหยางหยางก็แซวซู่เป่าอีกว่า มันม่วง มันเทศ”

“……”

ว่ายัยพุงโต มันเทศแล้วไงละ เป็นเรื่องปกติของเด็ก ๆ น่ารักบริสุทธิ์คิดอะไรก็พูดออกมา

ตรงกันข้าม ซู่เป่าเพิ่งมาที่นี่วันแรก มนุษยสัมพันธ์ก็แย่มาก

ทำไมหลานของเธอไม่ว่าคนอื่น ว่าแค่เธอล่ะ

หลานของเธอทำไมไม่ทะเลาะวิวาทกับคนอื่นล่ะ แต่ทะเลาะแค่กับเธอ

แน่นอนว่าฝ่ายตรงข้ามนั้นแหละมีปัญหา!

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ชีวิตใหม่ของเจ้าแก้มก้อน