ชีวิตใหม่ของเจ้าแก้มก้อน นิยาย บท 512

กองทัพผีปรโลกและผีสาวผมขาวที่ไม่ทราบจำนวนแน่ชัดดิ้นรนกระเสือกกระสนพลางตกลงไปในนรก บ้างก็ถูกเปลวเพลิงกลืนกินไปในพริบตา บ้างก็เกาะกำแพงหินพลางร้องโอดครวญอย่างไร้เสียง

สองมือของซู่เป่ากดลงไปบนพื้น จากนั้นตะคอกอย่างกดเสียงต่ำว่า “ปิด!”

ถนนแห่งรอยยันต์มหึมาสว่างอยู่บนพื้น แสงสีเหลืองอร่ามทำให้พื้นว่างใต้ดินทั้งหมดสว่างไสว สะท้อนใบหน้าน้อยๆ อันไร้เดียงสาของซู่เป่าให้ดูยิ่งเคร่งขรึมขึ้นสามส่วน

ครืดๆๆ

พื้นดินกลับสู่สภาพดังเดิม ราวกับว่าไม่มีอะไรเกิดขึ้น เพียงแต่ “ศพ” ที่มีจำนวนมากมายก่อนหน้านี้นั้น ตอนนี้หายไปหมดแล้ว

“นี่ๆๆ” ดวงตาของผีดวงซวยใกล้จะหลุดออกมาอยู่แล้ว “ซู่เป่าเข้าไปในตำหนักพญายมแล้วไม่ใช่เหรอ ทำไมถึงออกมาอีกล่ะ”

ผีทึ่ม “เอ๊ะ ตำหนักพญายมล่ะ”

ตำหนักพญายมอันโอ่อ่านั่นล่ะ

ผีขี้แยตกใจจนหยุดร้องไห้ มองใต้รากต้นไม้อันว่างเปล่าอย่างตกตะลึง

รากต้นไม้ยังคงเลื้อยพันกันจนเป็นรูปร่างของตำหนักใหญ่

แต่ตำหนักพญายมหายไปแล้ว!

ตำหนักพญายมที่ใหญ่ขนาดนั้น บอกว่าหายไปก็หายไปเลยเหรอ

ผีขี้ขลาดพูดขึ้นอย่างงงงัน “ซู่เป่า...?”

ซู่เป่าเก็บค้อนใหญ่ทองคำม่วงขึ้นมาแล้วหันหน้ากลับไป

เธอยืนอยู่ที่เดิมอย่างมั่นคง ผ่านไปนานสองนาน ปากน้อยๆ ของซู่เป่าก็เบ้ออก นัยน์ตาเริ่มแดงขึ้นในทันใด

“ป้าสะใภ้ใหญ่! พี่พัน! พี่หลายใจ! คุณลุงดวงซวย!”

เธอกระโจนเข้าไปในอ้อมอกของเหยาหลิงเยว่อย่างแรง สะอึกสะอื้นเสียงหนึ่ง ในที่สุดก็กลั้นเอาไว้ไม่ไหวจนต้องร้องไห้ออกมา

“ฮือๆๆ...หนูคิดว่าพวกป้าตายไปแล้ว แล้วทิ้งหนูเอาไว้ไม่สนใจ” เธอโอบคอของเหยาหลิงเยว่พลางร้องไห้ฮือๆๆ

เหยาหลิงเยว่อึ้ง ยกมือขึ้นอย่างตัวสั่นงันงก จากนั้นก็กอดซู่เป่าเอาไว้แน่น

ในช่วงเวลานี้เองมีผีสาวผมขาวที่ยังตายไม่สนิท เหลือเพียงแค่ร่างครึ่งท่อนไม่มีตาเอาเสียเลย เธอกรีดร้องพลางพุ่งเข้ามา

ซู่เป่าร้องไห้ไปพลางแกว่งค้อนใหญ่ทองคำม่วงขึ้นไปทุบด้วยมือเดียวไปด้วย

ทันใดนั้นผีสาวผมขาวก็ถูกค้อนทุบจนสลายกลายเป็นเถ้าถ่านโดยไม่ทันแม้แต่เปล่งเสียงใดๆ

ซู่เป่า “ฮือๆๆ พวกเขารังแกหนู เข้ามาซ้อมหนูทีละสิบคนเลย”

ผีขี้ขลาด “...”

ผีหลายใจ “...”

ผีดวงซวย “...”

ซู่เป่า “เมื่อกี้พวกเขายังหลอกหนูด้วย ให้หนูควักหัวใจออกมา ฮือๆๆ!”

ผีขี้ขลาด “...”

ผีหลายใจ “...”

ผีดวงซวย “...”

ขณะที่พูดอยู่นั้น บนพื้นก็มีแขนของผีสาวผมขาวปรากฏขึ้นมาข้างหนึ่ง มันคว้าไปสุ่มสี่สุ่มห้าราวกับแมลงวันไร้หัว

ซู่เป่าร้องไห้อย่างเสียใจมากๆ แต่ท่ามกลางความวุ่นวายก็ยังไม่วายยื่นเท้าออกมาข้างหนึ่ง แล้วเหยียบแขนข้างนั้นจนกลายเป็นขี้เถ้า

ผีขี้แยเผยอปาก พูดขึ้นตามสัญชาตญาณ “วรรณกรรมเลิศล้ำหยิบพู่กันก็สร้างความสงบสุขให้ใต้หล้าได้,ด้านการต่อสู้เพียงแค่ขึ้นไปบนอานม้าก็พลิกสถานการณ์ได้,การหลุดพ้นทางวิญญาณพวกเจ้าไม่อาจคาดคะเน……”

ผีทึ่มพูดตาม “เจ๋ง สุดยอดๆๆ!”

ผีขี้ขลาดอดไม่ได้ที่จะลงไปนั่งยองๆ บนพื้น เบ้าตายแดงระเรื่อ

เขาลูบศีรษะของซู่เป่าอย่างอ่อนโยน ปลอบด้วยเสียงทุ้มต่ำ “ซู่เป่า...”

“เด็กดี ไม่ต้องกลัวนะ ไม่มีอะไรแล้ว...”

ผีทึ่มแอบพูดในใจ นี่ยังมีสิ่งที่เธอกลัวและไม่กลัวด้วยเหรอ คนที่ควรกลัวคือคนอื่นต่างหาก...อ้อไม่สิ ผีตนอื่น

ผีทึ่มบ่นพึมพำๆ ทันใดนั้นก็ตระหนักได้ว่าพวกเขารอดพ้นมาแล้ว ต่อไปพวกเขาคือกองทัพผีและผีขุนศึกลูกน้องของพญายม

เชี่ย มีการจัดตั้งกฎ ห้าประกันหนึ่งกองทุน!

ผีทึ่มตื่นเต้นขึ้นมาในทันใด คราวนี้ได้กำไรเยอะแน่นอน!

ราวกับน้ำเต้าวิญญาณเองก็แข็งแกร่งขึ้น ปากใหญ่ๆ ของน้ำเต้าเปิดอ้า ไอพิฆาตทั้งหมดล้วนถูกดูดเข้าไป น้ำเต้าวิญญาณที่เดิมเติมไปแค่ครึ่ง ตอนนี้มีเพิ่มอย่างรวดเร็ว

อีกด้านหนึ่ง ผีสาวชุดแต่งงาน น้าสาวขี้เหร่และวิญญาณพยาบาทน้อยตกใจจนกลายเป็นผีโง่ ยืนอยู่ที่เดิมยังไม่ได้สติกลับคืนมา ไฟแห่งนรกเมื่อครู่ทำเอาพวกเขากลัวแทบแย่

พวกเขาไม่ใช่คู่ต่อสู้ของผีสาวผมขาว และยิ่งไม่ใช่คู่ต่อสู้ของกองทัพผีปรโลก ทุกคนเอาตัวรอดมาจนถึงตอนนี้ด้วยการหนีและซ่อนตัว

“ฮือๆๆ...ข้าคิดว่าครานี้คงซี้แหงแก๋แล้ว ฮือๆๆ”

เธอร้องไห้ไปพลางหาศีรษะตามพื้นไปด้วย ศีรษะของเธอหล่นลงไปในช่วงชุลมุน

วิญญาณพยาบาทน้อยเองก็สะบักสะบอม เละไปทั้งร่าง แต่ไม่ร้อนใจ รอดมาได้แล้ว ต่อไปยังมีเวลาให้ค่อยๆ ฟื้นฟู

เธอมองซู่เป่าด้วยดวงตาที่เปล่งประกาย นัยน์ตาเต็มไปด้วยความเลื่อมใส

ผีขี้ขลาดถามขึ้นว่า “ซู่เป่า เมื่อกี้เธอเข้าไปในตำหนักพญายมแล้วไม่ใช่เหรอ ทำไมถึงออกมาแล้วล่ะ...แล้วตำหนักพญายมหายไปไหนแล้วล่ะ”

และจู่ๆ ก็เก่งกาจขึ้นถึงขนาดนั้น

น่าเหลือเชื่อสุดๆ

ซู่เป่าเช็ดน้ำตาที่เบ้าตา ส่ายหน้าพลางพูดขึ้นว่า “ไม่มีอะไรค่ะ หนูปราบตำหนักพญายมได้แล้ว ดูสิคะ!”

เธอยกมือขึ้นพลางส่ายไปส่ายมา

จี้หยกชิ้นใหญ่ขนาดนั้นประดับอยู่บนเล็บ หากสังเกตดีๆ ก็จะรู้ว่าคือตำหนักพญายม

ไม่นึกเลยว่าตำหนักพญายมที่โอ่อ่าขนาดนั้นจะย่อส่วนกลายเป็นจี้ไปแล้ว

ผีหลายใจ “เอ่อ...”

ผีทึ่มทำหน้าสับสนมึนงง “ห๊ะ กำราบตำหนักพญายมได้ด้วยเหรอ ย่อส่วนเล็กขนาดนั้น...ยังใช้ประโยชน์ได้ไหม”

ผีขี้แยทำหน้าตื่นเต้น “ไม่นึกเลยว่าเธอจะปราบตำหนักพญายมได้ด้วย...ซู่เป่าคือพญายมจริงๆ ใช่ไหม”

ผีหลายใจ “เอาละ เลิกถามได้แล้ว...”

ทันใดนั้นผีขี้ขลาดก็หัวเราะขึ้นมา “ซู่เป่าไม่เป็นอะไรก็พอแล้ว นี่ถึงจะเป็นเรื่องที่ดีที่สุด”

เหล่าผีร้ายพยักหน้า ก็จริง

อยู่ด้วยกันต้องมีกฎกติกาเงื่อนไขแรก ต้องฉลาดและคล่องแคล่ว...อย่างเช่นตอนนี้ ที่ไม่ควรถามก็อย่าถาม

เหล่าผีเงียบไปโดยปริยาย

ผีขี้ขลาดลุกขึ้น แล้วจับมือของซู่เป่าเอาไว้แน่นจากนั้นพูดขึ้นว่า “ตอนนี้พวกเราต้องคิดว่าจะกลับไปยังไง”

ถูกผีสาวผมขาวกลุ่มหนึ่งลากมายังที่แห่งนี้อย่างไร้สาเหตุ เห็นได้อย่างชัดเจนเป็นอย่างมากว่าที่กองทัพผีปรโลกตกลงไปนั้นถึงจะเป็นนรกที่แท้จริง

ถ้าอย่างนั้นตอนนี้พวกเขาก็ยังอยู่ในโลกมนุษย์ น่าจะเป็นใต้ดินของเขาร้าง ใต้ดินที่ลึกมากๆๆ

ผีหลายใจลูบคาง “ไม่รู้ว่าพ่อของเจ้าเด็กดีจะสั่งให้ทหารหนึ่งแสนนายมาขุดคนละไม้คนละมือ...จนขุดเขาร้างให้กลายเป็นที่ราบหรือเปล่า”

ผีดวงซวยพึมพำ “ขุดจนกลายเป็นที่ราบแล้วยังไง พวกเราคงอยู่ในใต้ดินที่ลึกมากๆ แน่ๆ”

ผีขี้ขลาดพูดขึ้น “ตามหาปราณหยินเส้นนั้น”

ไม่แน่ว่าปราณหยินเส้นนั้นอาจจะฉลาดก็ได้

เขานึกถึงท่านเซียนของเหยาซือเยว่คนนั้น แลกเปลี่ยนกับลูกหลานของจอมขมังเวท และเป็น “ท่านเซียน” ของเหยาซือเยว่

เหยาซือเยว่ต้องสมัครใจให้อะไร “ท่านเซียน” ไปสักอย่างแน่ๆ ต้องเกี่ยวกับปราณหยินอย่างแน่นอน

“ปราณหยินไม่ใช่มนุษย์ เป็นเพียงของตายชนิดหนึ่ง หรือว่าสิ่งที่มันต้องการคือสมองของเหยาซือเยว่...สมองของลูกหลานจอมขมังเวท...อยากมีปัญญาเหรอ” ผีหลายใจคาดเดา

ผีดวงซวยประหลาดใจ “เอาสมองของใครไม่เอา แต่ก็ไม่ควรมาเอาสมองของเหยาซือเยว่ สมองของผู้หญิงคนนั้นให้หมาหมามันยังไม่เอาเลย ”

เหล่าผี เห็นด้วย!

ผีขี้ขลาดมองเหยาหลิงเยว่ทีหนึ่ง

หากเป็นแบบนี้จริงๆ เรื่องนี้มันก็ไม่แน่

สมมติว่าการสมมตินี้เป็นจริง

เหยาหลิงเยว่ถูกฝังอยู่ในเขาร้างมานานขนาดนี้ ปราณหยินคอยหล่อเลี้ยงเธอมานานขนาดนั้น งั้นเดิมมันก็น่าจะต้องการสติปัญญาของเหยาหลิงเยว่

จอมขมังเวทสมัยโบราณเดิมควบคุมสายปราณ รวมไปถึงปราณหยินด้วย

ฉะนั้นปราณหยินอยากได้สติปัญญาของลูกหลานจอมขมังเวทก็พอจะเข้าใจได้ แต่ไม่ควรมีเงื่อนไข อย่างเช่นลูกหลานของจอมขมังเวทอยากได้ทรัพยากรเซ่นไหว้อะไร

“หามันเจอก็จะรู้เอง” ผีทึ่มพูดขึ้น

ผีขี้แยถามขึ้นว่า “แต่จะไปหาที่ไหน”

เหล่าผีมองไปที่ซู่เป่าตามสัญชาตญาณ

ซู่เป๋า “หืม”

ตามหาปราณหยินน่ะ

“ง่ายจะตายไป!” เธอพูดขึ้น

ในความคาดหวังของเหล่าผี

ซู่เป่ายื่นมือออกไปแบมือขอ จากนั้นพูดขึ้นว่า...

“จิ้มกองทัพจิ้มขุนศึก จิ้มถูกใครคนนั้นคือเจ้าทึ่ม ข้าวหนึ่งเม็ด พุ่งไปจุดต่ำ ไม่ใช่เขาแต่เป็นเธอ...”

“อยู่ตรงนี้!” ซู่เป่าชี้อย่างสุ่มสี่สุ่มห้าไปที่ทิศทางหนึ่ง

มุมปากของเหล่าผีกระตุก

ในขณะนี้เอง ก็มีเสียงแผดอย่างทุ้มต่ำแว่วมาจากทางที่ซู่เป่าชี้ ไม่นานก็กลายเป็นเค้นเสียงหึ

ในใจของซู่เป่าเสียววาบ “เป็นอาจารย์!”

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ชีวิตใหม่ของเจ้าแก้มก้อน