ความรู้สึกเป็นพวกเดียวกันเป็นอะไรที่มู่จิ่นแสวงหาอยู่ตลอดเวลา
ถึงแม้สมาชิกในสำนักหมิงเซียนจะปฏิบัติต่อมู่จิ่นเป็นอย่างดี แต่มู่จิ่นถึงยังไงก็ไม่ใช่มู่จิ่นคนเดิม
มู่จิ่นแหกข้ามมิติมาถึงภูมิภาคตะวันตกที่แปลกประหลาดแห่งนี้จากจีนฮวาเซี่ย ไม่คุ้นเคยกับผู้คนสถานที่ ความไม่คุ้นเคยกับผู้คนสถานที่ลักษณะนี้แตกต่างจากความรู้สึกไม่ชินกับผู้คนและพื้นที่นั้นตอนมู่จิ่นเดินทางไปทำงานนอกสถานที่ยามอยู่ที่จีนฮวาเซี่ย
ตอนที่อยู่จีนฮวาเซี่ย มู่จิ่นเป็นเชฟทำอาหารที่เก่งมาก ในฐานะเชฟที่ยอดเยี่ยม เพื่อส่งเสริมการแลกเปลี่ยนวัฒนธรรมในเรื่องอาหาร มู่จิ่นเดินทางทำงานนอกสถานที่สองวันสามวันทีเป็นบ่อยๆ
ตอนนั้น เมื่อใดที่มู่จิ่นมาถึงสถานที่ที่เขาไม่คุ้นเคย มองเห็นแวดล้อมที่ไม่ชินและฝูงชนมากมายที่ไม่รู้จัก แม้ว่ามู่จิ่นจะรู้สึกแปลก ๆ แต่ก็เป็นแค่ความรู้สึกโดดเดี่ยวแต่ไม่มีความรู้สึกถึงขาดการเชื่อมต่อและขัดแย้งของวัฒนธรรม
ที่จีนฮวาเซี่ย ไม่ว่ามู่จิ่นจะไปที่ไหน ไปนานแค่ไหนก็จะต้องมีเวลากลับมาเสมอ เขารู้ว่าจะกลับบ้านเมื่อใดและกลับอย่างไร
แต่พอมาถึงที่ภูมิภาคตะวันตก ไม่คุ้นเคยไม่ว่า มู่จิ่นไม่สามารถหาทางกลับบ้านได้ มองไม่เห็นเวลาที่จะกลับบ้านได้ กล่าวได้ว่าในภูมิภาคตะวันตก มู่จิ่นเป็นเหมือนแหนที่ไม่มีราก ล่องลอยไปอย่างไร้จุดหมายในห้วงมิติแปลกประหลาดนี้ ดวงวิญญาณจึงโดดเดี่ยวเดียวดายในที่สุด
ตอนนี้ดีแล้ว ในที่สุดก็ได้พบกับเซียวเฉวียนคนบ้านเดียวกันคนนี้ ! แถมเซียวเฉวียนบอก ยังมีคนบ้านเดียวกันอีกสองคนที่ต้าเว่ย ตามที่เซียวเฉวียนว่า ในมิตินี้ คนที่มาจากจีนฮวาเซี่ยมีพอที่จะรวมตัวกันเล่นไท่จี๋ครบหนึ่งโต๊ะแล้ว
ที่เรียกว่าเล่นไท่จี๋ก็คือเล่นไพ่นกกระจอก เพราะตอนสับไพ่เวลาเล่นไพ่นกกระจอก ท่าทางของผู้สับไพ่คล้ายกับกำลังเล่นไท่จี๋ (ไท้เก๊ก) ชาวจีนจำนวนมากจึงล้อเล่นว่าเล่นไพ่นกกระจอกเป็นเล่นไท้เก๊ก
มีคนบ้านเดียวกันสามคนในต้าเว่ยรวมทั้งเซียวเฉวียน จู่ๆ มู่จิ่นก็รู้สึกว่าเมื่อเปรียบเทียบกับตัวเขาเอง เซียวเฉวียนพวกเขาสามคนมีความสุขมาก ต่างจากมู่จิ่น เขาอยู่ตัวคนเดียวในภูมิภาคตะวันตก โดดเดี่ยวมากจนเขาไม่มีแม้กระทั่งคนที่จะพูดคุยด้วย
ตั้งแต่เจาะทะลุมาถึงนี่ มู่จิ่นได้รับรู้ว่าคนสำนักหมิงเซียนช่ำชองวิชาทำนายดวงชะตา ได้ยินว่านักปราชญ์เป็นนักปราชญ์ผู้เก่งกล้าวิชามาก มู่จิ่นก็เชื่อและคิดว่านักปราชญ์นั้นเก่งวิชาพอๆ กับหมอดูในละครโทรทัศน์จริงๆ บีบนิ้วก็ทำนายอนาคต รู้การเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ของโลก
มู่จิ่นรู้ตัวว่าเดิมทีนั้นเขาไม่ได้เป็นส่วนหนึ่งของมิตินี้ เขาหลงเข้ามาด้วยความบังเอิญ ฉะนั้น มู่จิ่นจึงเป็นตัวแปรตัวหนึ่ง
เขากลัวว่านักปราชญ์จะคำนวณตัวแปรตัวเขาออก ดังนั้นมู่จิ่นจึงกระทำอย่างระมัดระวัง ดำเนินชีวิตด้วยความระแวดระวังเป็นอย่างยิ่ง
หลังจากฟังสิ่งที่เซียวเฉวียนพูดในวันนี้ มู่จิ่นก็ตระหนักว่าเขาประเมินกำลังของนักปราชญ์ไว้สูงเกินไป และรู้สึกว่าความรอบคอบของเขานั้นมีเกินกว่าเหตุ สิ้นเปลืองในการแสดงออก
ดังที่เซียวเฉวียนกล่าวไว้ หากนักปราชญ์รู้เรื่องลี้ลับขนาดนั้นได้ เขาทำไมคำนวณไม่ได้ว่าสำนักหมิงเซียนจะประสบหายนะเช่นนี้ในวันนี้ พูดตรงๆ นักปราชญ์ก็คือที่จีนฮวาเซี่ยในยุคใหม่เรียกว่าพวกร่างทรง ไม่มีความสามารถจริงจังอะไร แกล้งทำให้ดูลี้ลับก็เท่านั้น !
แต่แล้ว หลังจากยอมรับเซียวเฉวียน มู่จิ่นก็รู้สึกว่าใจเขามีที่ยึดเหนี่ยว เขาจะติดตามเซียวเฉวียนคนบ้านเดียวกันคนนี้อยู่ใจเดียว เขาไม่แม้แต่จะสนใจพละกำลังของนักปราชญ์จะเป็นยังไง
ยิ่งกว่านี้ หลังจากมู่จิ่นได้ฟังเซียวเฉวียนเล่าถึงสิ่งที่นักปราชญ์ได้ทำและรู้ว่านักปราชญ์นั้นคลั่งไคล้มากที่ต้องการจะฆ่าเซียวเฉวียนคนบ้านเดียวกันนี้ให้ตาย ท่าทีของมู่จิ่นที่มีต่อนักปราชญ์ก็เปลี่ยนไปเป็น 180 องศา แต่ก่อนเคยเคารพนักปราชญ์มากแค่ไหน ตอนนี้ก็เกลียดมากแค่นั้น !
มู่จิ่นรู้ว่าในต้าเว่ย เซียวเฉวียนมีสถานการณ์เหมือนเดินอยู่บนเส้นด้าย
เมื่อมู่จิ่นรู้ว่าเซียวเฉวียนด้วยกำลังของเขาคนเดียว ได้ผันตัวจากนักเรียนหนังสือผู้ยากจน เขยแต่งเข้าบ้านฝ่ายสตรี ย้อนย่ำก้าวสู้ในต้าเว่ยที่ประสบปัญหาทั้งภายในและภายนอก จนได้เปิดร้านอาหาร เปิดบ่อนการพนัน ผ่านการสอบคัดเลือกขุนนาง ได้ตำแหน่งจ้วงหยวน และกลายเป็นเจ้าของโรงเรียนชิงหยวนของต้าเว่ย ควบดูแลกองผู้อารักขา จนกลายมาเป็นมหาราชครูที่อายุน้อยที่สุดในประวัติศาสตร์...... ใช้เวลาเพียงหนึ่งปีนิดหน่อย เซียวเฉวียนเจริญรุ่งเรืองอย่างมากในต้าเว่ย มู่จิ่นก็อดไม่ได้ที่จะรู้สึกเลื่อมใสศรัทธาในตัวเซียวเฉวียน
นี่มันเจ๋งขนาดไหน !
”สถานการณ์บนเขาแย่มาก สำนักหมิงเซียนต้องหาที่พักอื่นแล้ว” มู่จิ่นได้ตระหนักว่าเขาแสดงออกเลยเถิดไปแล้ว เขารีบถอนสายตาที่ชื่นชมและตอบมู่เวยอย่างนิ่มนวลว่า “ศิษย์น้อง ศิษย์พี่จมติดอยู่ในโคลนลึกบนเขา เขาเป็นคนช่วยดึงศิษย์พี่ขึ้นมา”
พูดจบ มู่จิ่นก็แนะนำให้มู่เวยรู้จักอย่างเป็นทางการว่า “ศิษย์น้อง เขาคือเซียวเฉวียน”
เซียวเฉวียนทักทายมู่เวยอย่างสุภาพ "สวัสดีขอรับ แม่นางมู่เวย"
”ในที่สุดก็ยอมบอกชื่อตัวเองแล้วหรือ” มู่เวยกลอกตาไปที่เซียวเฉวียนด้วยความเคืองพลางมุบมิบพึมพำ
มู่เวยจำได้ชัดเจนว่าตอนที่เธอและมู่จิ่นถามเซียวเฉวียนว่าเขาชื่ออะไร เซียวเฉวียนยังไม่ยอมบอก
“ขอแสดงความละอายเป็นอย่างยิ่ง ตอนนั้นมีความจำเป็นจึงไม่บอก หวังว่าแม่นางมู่เวยจะให้อภัย” เซียวเฉวียนยิ้ม ๆ และไม่พูดอะไรอีก
เซียวเฉวียนดูออกว่ามู่เวยเป็นคนคิดอะไรง่ายๆ คนที่มีจิตใจเถนตรง รับรู้ยิ่งน้อยยิ่งดี อย่างอื่นไม่พูดถึง อย่างน้อยก็ไม่เพิ่มความกลัดกลุ้มให้มากขึ้น
ในสายตาของเซียวเฉวียน ผู้หญิงควรใช้ชีวิตอย่างไร้กังวล อย่างอื่นปล่อยให้เป็นหน้าที่ของผู้ชาย
ดังนั้นเซียวเฉวียนจึงแอบขยิบตาให้มู่จิ่น ส่งสัญญาณบอกมู่จิ่นอย่าถูกมู่เวยล้วงความในใจได้
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ซูเปอร์ลูกเขย
อ่านแรกๆก็สนุกนะแต่อ่านไปสักพักก็งงกับตรรกะของนักเขียน..นักเขียนจีนนี่โนทัศน์แปลกๆรื่องราวไล่เรียงไปเหมือนมีเหตุผลอยู่ก็กลับไร้เหตุผลดื้อๆซะงั้นคงอ่านไปต่อไม่ได้แล้วมันช่างทำร้ายจิตใจคนอ่านเป็นระยะอ่านไปรู้สึกหนืดๆไม่ไหลลื่นเลย...
ถึงตอน139 อ่านต่อไม่ได้ต้องทำอย่างไรครับ...
ถ้าแต่งเรื่องแบบนี้ไม่ต้องแต่งเลยจะดีกว่าไม่มีความคิดสมัยใหม่เลยถ้าตัวเอกแบบนี้ก็สมที่คนเป็นพ่อเป็นแม่ทัพพาลูกน้องทั้งกองทัพไปตาย...
มีเรื่องนี้ที่ตัวเอกเป็นเหมือนขยะสังคมทั้งที่ทลุมิติมากเกิด...
ไอ้คนแต่งมันปัญญาอ่อนหารือเปล่า...
มันสมควจไหมที่เอาเลือดเขามาติดต่อวิณยาณไม่มีเหตัผลที่จะทำอย่างนี้เหมือนมันไม่มีอะไรทำทำไมไม่คิดเอาวิธีช่วยลูกเมียมันจะมีประโยชน์กว่า...
เรื่องนี้ตัวเอกเหมือนควายเหมือนหมาหมามาก...
ไม่สมควรเป็นชุปเปอร์ลูกเขยน่าเป็นลูกเขยะจริงๆ...
เป็นคนที่ไม่มีสำมาคาระวะเหมือนไพร่น่ารังเกลียดไม่น่าเอามาเป็นตัวเอก...
บางครั้งเชียวเฉวียนเล่นเหมือนเด็กไม่มีความน่านับถือไม่น่าเอามาเป็นตัวเอกน่าให้เป็นคนชั้นตำ่มาก็กว่า...