ได้ยินเพียงเสียงเล็ก ๆ ดังขึ้นจากข้างหลังพวกเขา คนสะกดรอยตามในสมัยโบราณช่างน่าขันเสียจริง คิดว่าตัวเองมีศิลปะการต่อสู้นิดหน่อย ก็ทำเหมือนว่าคนอื่นจะฟังไม่ได้ยินเสียอย่างนั้น
ดินที่นี่โปร่งและมีหินมากมาย เมื่อมีผู้ใหญ่คนหนึ่งเหยียบก็จะส่งเสียงอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ เว้นแต่จะหูหนวก มิฉะนั้นไม่ว่าอย่างไรก็สามารถรู้ตัวได้แน่
เซียวเฉวียนและโย่วควนมองหน้ากัน พวกเขาไม่มีศัตรูในซินเจียง ผู้ที่ติดตามเซียวเฉวียนได้อย่างรู้แจ้งทะลุปรุโปร่งเช่นนี้ได้ และตามมาได้ว่องไวเช่นนี้ มีเพียงคนของเว่ยเชียนชิวเท่านั้น
เซียวเฉวียนไม่แสดงความรู้สึกใด “เอาอูฐแปดตัวนี้แล้วกัน”
ขณะนั้น เซียวเฉวียนและผู้ร่วมทางกำลังซื้ออูฐอยู่ที่ศาลาพักม้าแห้งหนึ่ง รวมทั้งอาหารและน้ำสำหรับเดินทาง
คนที่อยู่ด้านหลังเหล่านั้นก็เสแสร้งเป็นลูกค้า สอบถามราคาอูฐและค่าใช้จ่ายในการนำทาง ความอฆาตแค้นอยู่ระหว่างคิ้วของเขา
ดูเหมือนว่าคนเหล่านี้จะเป็นชายรูปร่างใหญ่และล่ำที่ทำไร่ทำสวนมาตลอดทั้งปี ทว่าสายตาของพวกเขาเฉียบแหลมเกินไป ร่างกายก็แข็งแกร่งเกินไป ดูเหมือนว่าปกติจะกินและออกกำลังกายค่อนข้างเยอะ คาดว่าสามารถบีบคนธรรมดาให้ตายได้ด้วยมือข้างเดียว
“นายท่าน พวกเขามีกำลังคนมาก อีกทั้ง... ดูเหมือนเป็นชาวยุทธ์แท้”
โย่วควนกังวลเล็กน้อย รวมทั้งครั้งนี้ชาวยุทธ์แท้ดูแตกต่างจากเมื่อก่อน อาวุธของพวกเขาเหมือนกัน ดุคล้ายว่าจะเป็นดาบ
ตอนนี้เสี่ยวเซียนชิวไม่ได้อยู่ด้วย จึงไม่มีใครสามารถจัดการกับสิ่งที่อำมหิตที่สุดอย่างกระบี่ชีวันได้ โย่วควนขมวดคิ้ว ทันทีที่เข้าในทะเลทรายอนาคตก็ไม่แน่นอน มีอันตรายรออยู่รอบด้าน เขาอดไม่ได้ที่จะเป็นกังวล “นายท่าน เอาเช่นนี้ดีหรือไม่ ข้าไปทะเลทรายเพื่อตามหาคลังอาวุธนั้น ท่านรออยู่ที่นี่ เมื่อข้าทราบสถานการณ์ดีแล้ว ข้าจะกลับมารายงาน”
โย่วควนทำเพราะหวังดี แต่เซียวเฉวียนไม่มีเวลามากพอ
แม้แต่คนของเว่ยเชียนชิวยังตามมาสังหารถึงที่นี่ หากยังหาใบมันเทศและปืนไม่เจอ เกรงว่าเซียวเฉวียนอาจต้องตายในซินเจียง
อีกอย่าง รู้อยู่เต็มอกว่าทางด้านหน้ามีอันตราย เขายิ่งไม่มีเหตุผลให้โย่วควนต้องไปเสี่ยงภัย สัญญาว่าจะเป็นพี่น้องกัน จึงไม่สามารถแยกจากกันเมื่อเกิดภัยร้าย นี่ไม่ใช่วิถีของเซียวเฉวียน
ในทางกลับกัน เซียวเฉวียนยังคิดที่จะให้โย่วควนและมู่เวยอยู่ที่นี่ ทางด้านหน้าไม่ชัดแจ้ง เขาไปกับมู่จิ่นสองคนก็เพียงพอแล้ว ไม่จำเป็นต้องให้เขาทั้งสองที่ไม่รู้วิชาการต่อสู้ตามไปด้วย
สุดท้ายโย่วควนไม่ยินยอม มู่เวยยิ่งไม่ยินดี
โย่วควนต้องการติดตามนายท่าน ก็เพื่อคุ้มกันเจ้านายอย่างเต็มความสามารถ
มู่เวยที่เต็มไปด้วยความอยากรู้อยากเห็น ไม่ยอมห่างศิษย์พี่ ยิ่งไม่ยินดีที่จะห่างจากโย่วควน
เมื่อไม่อาจเกลี้ยกล่อมสองคนนี้ได้ ก่อนที่เซียวเฉวียนจะเข้าไปในทะเลทราย จึงทำได้เพียงล้มเลิกการเกลี้ยกล่อมครั้งสุดท้าย พร้อมกับให้โย่วควนและมู่เวยตามมาติด ๆ โย่วควนละเอียดรอบคอบ วิชาการแพทย์ของมู่เวยเป็นเลิศ การมีคนสองคนนี้อยู่ที่นี่ถือเป็นการรับประกันเพิ่มเติม
“พวกเราทั้งสี่จะเข้าทะเลทราย ถึงตอนนั้นก็ต้องออกมาทั้งสี่คน” เซียวเฉวียนที่นั่งอยู่บนอูฐมองไปยังพื้นที่กว้างใหญ่เบื้องหน้า “ตามหลังมาให้ใกล้ที่สุด เมื่อมีพายุทะเลทราย ก็อย่าพลัดหลงไป”
“วางใจได้เลย!” มู่เวยพยักหน้า พร้อมหันไปยิ้มให้โย่วควน
มู่เวยเป็นผู้ที่มีความคิดเรียบง่าย ในตอนแรกที่เซียวเฉวียนทำลายภูเขาหมิงเซียน มู่เวยโกรธจนแทบฉีกร่างของเซียวเฉวียน
ทว่าเมื่อเด็กคนนี้เห็นศิษย์พี่เป็นมิตรต่อเซียวเฉวียน ทิ้งความเกลียดชังอันลึกซึ้งของศิษย์สำนักไว้เบื้องหลังทันที
ทั้งหมดเป็นเพราะว่ามู่จิ่นเป็นผู้ที่ซื่อสัตย์และตรงไปตรงมา เป็นผู้ดีมีธรรม และดีต่อมู่เวยเสมอมา
ศิษย์พี่ยืนอยู่ฝั่งไหน มู่เวยก็จะยืนอยู่ฝั่งนั้น
แม้ว่ามู่เวยยังไม่รู้ว่าเหตุใดมู่จิ่นจึงดีต่อเซียวเฉวียนราวกับพี่น้องได้เช่นนี้ แต่นางคิดเพียงว่าเพื่อนของศิษย์พี่ ก็คือเพื่อนของนาง ศิษย์พี่ยังไม่คิดจุกจิกจู้จี้เรื่องภูเขาหมิงเซียน เหตใดนางต้องคิดมากด้วยเล่า
แม้ว่ามู่เวยจะฉลาดปราดเปรื่องอย่างมาก มีพรสวรรค์ที่แตกต่าง แต่เพราะนางใจใหญ่และมีความเป็นตัวเองสูง จึงทำให้เจ้าแห่งสำนักหมิงเซียนอย่างย่าเหยียนโมโหจนควันออกหูเสมอ
หากรู้ว่ามู่จิ่นจะซื่อสัตย์เช่นนี้ เซียวเฉวียนก็ไม่จำเป็นต้องทดสอบหลายครั้งเลย
เซียวเฉวียนถอนหายใจเบา ๆ เขามายังต้าเว่ยนานเหลือเกิน ความคิดของเขาลึกซึ้งและอ้อมค้อมเหมือนกับคนโบราณ ไม่เช่นนั้นเขาอาจไม่สามารถมีชีวิตรอดได้
การได้พบกับมู่จิ่นในวันนี้ หัวใจของเซียวเฉวียนก็ผ่อนคลายลงไม่น้อย
รวมทั้งการรายงานของไป๋ฉี่ เพลิงชุ้ยเจี้ยนที่ต้าเว่ยก็ดับสลายไปแล้ว นักปราชญ์โกรธมากจนเป็นลมหมดสติไป ดังนั้นเซียวเฉวียนก็ยิ่งใจกว้างมากขึ้น และพูดคุยเรื่องฮว๋าเซี่ยกับมู่จิ่น
ไม่ว่าผู้ใดที่มายังต้าเว่ย ไม่ว่าจะเป็นเซียวเฉวียนและเว่ยอวี๋ หรือมู่จิ่น พวกเขาต่างคิดถึงบ้านอย่างมาก
มู่จิ่นบอกว่า ก่อนที่เขาจะข้ามมิติมาที่นี่ เขาเป็นคนจีนทางตอนใต้
เมื่อเขามายังตะวันตกเฉียงเหนือครั้งแรก มู่จิ่นซึ่งยังใหม่กับที่นี่แทบจะแบกรับมันไม่ไหว แม้ว่าสำนักหมิงเซียนไม่เคยทำไม่ดีต่อเขา ทว่าขนบธรรมเนียมและวัฒนธรรมที่นี่ ทำให้มู่จิ่นรู้สึกเหมือนอยู่ต่างถิ่นต่างแดน และเกือบร้องไห้ออกมาด้วยความน้อยใจ
เซียวเฉวียนฟงัจบก็หัวเราะร่า “ปกติ ๆ ตอนที่ข้าเพิ่งมาถึง ข้าต้องเข้าร่วมสอบคัดเลือกขุนนางด้วยนะ”
ซินเจียงไม่มีการสอบคัดเลือกขุนนาง เมื่อมู่จิ่นได้ยินก็หัวเราะดังขึ้นกว่าเดิม “น่าเวทนา ๆ มาถึงที่นี่ยังทำตัวเป็นหนอนหนังสืออีก”
เซียวเฉวียนหยักหน้า สายตามีความเหงาหงอยเล็กน้อย เขาคิดถึงอาจารย์เหวินฮั่นและปีศาจกวี “แต่ว่า... ข้าก็ได้พบกับอาจารย์ที่ดีสองท่าน หากไม่มีพวกเขา ข้าคงไม่มีวันนี้”
มู่จิ่นรู้ว่าอาจารย์ทั้งสองของเซียวเฉวียนตายด้วยน้ำมือของเว่ยเชียนชิว ตอนที่เพิ่งรู้จักกัน เซียวเฉวียนเคยพูดไว้ ทุกครั้งที่พูดถึงเรื่องนี้ ใบหน้าที่ดูไม่แยแสของเซียวเฉวียนมักจะแสดงความเศร้าโดยไม่ปิดบังเสมอ
สิ่งนี้คงทำให้เซียวเฉวียนเจ็บปวดมากสินะ
มู่จิ่นเห็นว่าเซียวเฉวียนทรมาน จึงขุ่นเคืองเล็กน้อย “หากฆ่าเว่ยเชียนชิวแล้วจะเป็นอย่างไร?”
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ซูเปอร์ลูกเขย
อ่านแรกๆก็สนุกนะแต่อ่านไปสักพักก็งงกับตรรกะของนักเขียน..นักเขียนจีนนี่โนทัศน์แปลกๆรื่องราวไล่เรียงไปเหมือนมีเหตุผลอยู่ก็กลับไร้เหตุผลดื้อๆซะงั้นคงอ่านไปต่อไม่ได้แล้วมันช่างทำร้ายจิตใจคนอ่านเป็นระยะอ่านไปรู้สึกหนืดๆไม่ไหลลื่นเลย...
ถึงตอน139 อ่านต่อไม่ได้ต้องทำอย่างไรครับ...
ถ้าแต่งเรื่องแบบนี้ไม่ต้องแต่งเลยจะดีกว่าไม่มีความคิดสมัยใหม่เลยถ้าตัวเอกแบบนี้ก็สมที่คนเป็นพ่อเป็นแม่ทัพพาลูกน้องทั้งกองทัพไปตาย...
มีเรื่องนี้ที่ตัวเอกเป็นเหมือนขยะสังคมทั้งที่ทลุมิติมากเกิด...
ไอ้คนแต่งมันปัญญาอ่อนหารือเปล่า...
มันสมควจไหมที่เอาเลือดเขามาติดต่อวิณยาณไม่มีเหตัผลที่จะทำอย่างนี้เหมือนมันไม่มีอะไรทำทำไมไม่คิดเอาวิธีช่วยลูกเมียมันจะมีประโยชน์กว่า...
เรื่องนี้ตัวเอกเหมือนควายเหมือนหมาหมามาก...
ไม่สมควรเป็นชุปเปอร์ลูกเขยน่าเป็นลูกเขยะจริงๆ...
เป็นคนที่ไม่มีสำมาคาระวะเหมือนไพร่น่ารังเกลียดไม่น่าเอามาเป็นตัวเอก...
บางครั้งเชียวเฉวียนเล่นเหมือนเด็กไม่มีความน่านับถือไม่น่าเอามาเป็นตัวเอกน่าให้เป็นคนชั้นตำ่มาก็กว่า...