โรงเหล้าของถนนใกล้เคียงนั้นมีชื่อว่าหอจูเซียง เถ้าแก่มีชื่อว่าเสวี่ยเฉา
จากการตรวจสอบของมู่จิ่น เสวี่ยเฉานั้นเกิดในตระกูลผู้ดีในซินเจียง พูดให้น่าฟังหน่อยก็คือตระกูลผู้ดี แต่แท้จริงแล้วเดิมทีก็เป็นแค่ตระกูลตกต่ำ ในรุ่นของเสวี่ยเฉาตระกูลเสวี่ยไม่เหลือไว้โดยสิ้นเชิง และไม่มีผู้ใดรับราชการในซินเจียงอีกเลย
เพราะเดิมทีเป็นถึงตระกูลผู้ดี กินหรูอยู่สบาย คนในตระกูลเสวี่ยก็ชินกับการใช้ฟุ่มเฟือยอย่างนี้เสียแล้ว พอถึงคราตกตระกำลำบาก แน่นอนว่าพวกเขารับไม่ได้
พอรับไม่ได้พวกเขาจึงได้คิดวิธีหาเงิน
ดังสุภาษิตโบราณกล่าวไว้ เรือที่แตกหักยังคงมีตะปูสามตัว แม้ว่าตระกูลเสวี่ยจะตกต่ำ แต่ตระกูลเสวี่ยยังคงมีความสัมพันธ์ในราชสำนัก
ด้วยความช่วยเหลือจากผู้คนในราชสำนัก ตระกูลเสวี่ยได้ทำการเปิดหอจูเซียง ซึ่งบริหารและจัดการโดยเสวี่ยเฉา
เมื่อพูดถึงเรื่องนี้ เสวี่ยเฉานั้นมีความเฉียบแหลมทางธุรกิจ ภายใต้การบริหารของเสวี่ยเฉาธุรกิจของหอจูเซียงกำลังเฟื่องฟูและพูดได้ว่าเขาทำเงินเป็นกอบเป็นกำได้ทุกวัน
เสวี่ยเฉาซึ่งเคยชักดิ้นชักงอที่ร้านค้ามาก่อน พอโตมาก็เริ่มปลิ้นปล่อนอีก ภายใต้การแนะนำของผู้อาวุโสของตระกูลเสวี่ย เสวี่ยเฉารู้ว่าไม่ใช่เรื่องแปลกที่คนจำนวนมากจะสุภาพ เขามักจะไปมาหาสู่บ้านของขุนนางที่เคยช่วยเหลือครอบครัวเสวี่ยด้วยของกำนัลมากมาย เมื่อวันเวลาผ่านไป ความสัมพันธ์ระหว่างเสวี่ยเฉาและขุนนางเหล่านี้ก็เริ่มแน่นแฟ้นขึ้น
มีผู้อิทธิพลเหล่านี้คอยช่วยหนุนหลังเสวี่ยเฉาไว้ เสวี่ยเฉากลายเป็นคนหยิ่งผยองและยังเริ่มทำสิ่งต่าง ๆ รังแกผู้ชายและข่มเหงผู้หญิง เสวี่ยเฉาทำให้ผู้คนในบริเวณนั้นทุกข์ทรมานอย่างมาก
และก็ไม่ใช่ไม่มีผู้ใดกล้าร้องทุกข์ที่ราชสำนัก แต่ทุกครั้งที่ไปร้องทุกข์นั้น กลับโดนฝ่ายราชสำนักเพิกเฉย
ในการฟ้องร้องเสวี่ยเฉาทุกที
อาจกล่าวได้ว่าผู้คนทั่วไปไม่มีทางฟ้องร้องได้ พวกเขาจึงทำได้แค่กลืนความโกรธของตนเท่านั้น ซึ่งยิ่งกระตุ้นให้เกิดความเย่อหยิ่งของเสวี่ยเฉาครอบงำมากขึ้น
ช่างบังเอิญเสียจริง หอเทียนเซียงของมู่จิ่นตั้งอยู่ในเมืองนี้ เพียงแค่ข้ามถนนจากหอจูเซียงเท่านั้น
เทียบยุคปัจจุบันของฮวาเซี่ยต่างมีร้านเหม่ยอี้เจียทุกหนทุกแห่ง ทุกคนแข่งขันกันอย่างยุติธรรมตามความสามารถของตนเอง ในสายตาของมู่จิ่นคนฮวาเซี่ยเหมือนว่าที่ตั้งของหอคอยเทียนเซียง ไม่เห็นมีอะไรที่ไม่เหมาะสม
แต่ในมุมมองของเสวี่ยเฉาสิ่งนี้ไม่เหมาะสมโดยสิ้นเชิง หอเทียนเซียเปิดขึ้นที่นี่เพื่อแย่งลูกค้าของหอจูเซียง เห็นทีจะไปด้วยกันกับหอจูเซียงไม่ได้แล้ว!
แน่นอนว่าเสวี่ยเฉาทนไม่ดื ดังนั้นจึงวางยาให้คนที่กินอาหารของหอเทียนเซียงตาย
หลังจากการสอบสวนอย่างครอบคลุมโดยมู่จิ่น ทำให้มู่จิ่นรู้ได้ว่า วันนั้นลูกค้าที่โดนยาพิษเข้าไป เป็นลูกค้าประจำของหอจูเซียง อีกทั้งยังเป็นลูกค้ารายใหญ่ เขามักจะเรียกเพื่อนมาสังสรรค์ที่หอจูเซ่ยงเป็นประจำ สามารถพูดได้ว่า ลูกค้าคนนี้เป็นลูกค้าระดับวีไอพีของหอจูเซียงเลยก็ว่าได้ ดังนั้น เสวี่ยเฉาค่อนข้างรู้สึกประทับใจกับลูกค้าคนนี้
นับตั้งแต่เปิดหอคอยเทียนเซียง เสวี่ยเฉาก็คอยแอบจับสังเกตการ์ณหอเทียนเซียง ในใจก็คิดว่า หากหอเทียนเซียงไม่สามารถดำเนินการต่อไปได้ด้วยตัวเองและปิดตัวลง ก็ไม่มีอะไรดีไปกว่านี้แล้ว หากคิดจะมาแก่งแย่งชิงดีกับหอจูเซียงล่ะก็ เสวี่ยเฉาไม่มีทางปล่อยหอเทียนเซียงไปเด็ดขาด!
เพียงเพราะเหตุนี้ เสวี่ยเฉาได้พบว่าลูกค้าที่เคยมาแวะเวียนกินร้านตัวเอง ได้เข้าออกหอเทียนเซียงบ่อยเป็นว่าเลเล่น บัดนี้ลูกค้าประจำของตนกลับหนีไปเข้าหอเทียนเซียง เสวี่ยเฉาโกรธมาก จึงคิดหากลอุบายเพื่อที่จะกำจัดหอเทียนเซียงทิ้งซะ
ในเวลาเดียวกัน เสวี่ยเฉาที่รู้สึกว่าลูกค้าตนเองหนีไปร้านศัตรูตรงข้าม ก็รู้สึกถูกโดนหักหลัง เสวี่ยเฉารู้สึกโกรธและไม่พอใจลูกค้ารายนี้ จนถึงขีดสุดเสวี่ยเฉาได้ลงมือวางยาฆ่าลูกค้าคนนั้นและใส่ร้ายหอเทียนเซียงว่าเป็นอาชญากรรม ถือว่ายิงปืนนัดเดียวได้นกสองตัว
จะว่าไป พบกับคนที่มีจิตใจบิดเบี้ยวอย่างเสวี่ยเฉา ลูกค้ารายนั้นก็ถือว่าโชคร้าย…
แต่ครั้งนี้ เนื่องจากมู่จิ่นไม่มีหลักฐาน จึงเอาผิดฟ้องร้องเสวี่ยเฉาไม่ได้
และโชคดีที่แม่นางชือหลิวจากหอเทียนเซียงก็ไม่ใช่คนไม่มีความสามารถ เธอรู้ทันทีว่ามีใครบางคนจงใจใส่ร้ายหอเทียนเซียง และเธอใช้ความฉลาดของเธอเพื่อล้างมลทินชื่อเสียงของหอเทียนเซียง
แต่ผลสุดท้ายคือ กิจการของหอเทียนเซียงไม่เพียงแต่ไม่ได้รับผลกระทบ แต่กลับยิ่งดีขึ้นเรื่อย ๆ เสวี่ยเฉาโกรธมากจนควันออกจากหู
ความกังวลของชายวางยาพิษนี้ มู่จิ่นเข้าใจเป็นอย่างดี เขาก็คงจะกลัวว่าเสวี่ยเฉาจะมาเอาคืนตน ดังนั้นมู่จิ่นก็ไม่ได้บังคับชายผู้วางยาพิษนี้แต่อย่างใด
เนื่องจากไม่มีหลักฐาน ครั้งนี้มู่จิ่นจึงยอมทำได้แค่ปล่อยไป
พอฟังถึงตรงนี้ เซียวเฉวียนพูดหยอกเอิน “เสวี่ยเฉาคงไม่ยอมแพ้ให้กับหอเทียนเซียงใช่หรือไม่? ”
เมื่อเห็นผลประโยชน์อยู่ตรงหน้า คนที่มีเจตนาชั่วร้ายจะไม่ยอมแพ้ง่าย ๆ โดยเฉพาะคนหูตาใจบอดอย่างเสวี่ยเฉา
มู่จิ่นพยักหน้า
เสวี่ยเฉาหยุดทำเรื่งอชั่วไม่กี่วัน ไม่นานก็ได้คิดหาวิธีใหม่ แต่ครั้งนี้เขามาด้วยตนเอง มาสร้างความเดือดร้อนให้กับชือหลิน
เหตุผลที่เสวี่ยเฉาไปหอเทียนเซียงด้วยตนเองนั้น เป็นเพราะเขาตกหลุมรักความงามของชือหลิว จนน้ำลายไหลย้อยหยดติ๋ง ๆ
ในเวลานี้ชือหลิวทักทายเสวี่ยเฉาอย่างเป็นอบอุ่น ดวงตาเล็ก ๆ คู่นั้นของเสวี่ยเฉาก็หรี่ตาไปรอบ ๆ ตัวของ ชือหลิว เขาไม่สังเกตเห็นด้วยซ้ำว่าน้ำลายของเขาไหลไปที่มุมปากของเขา แค่มองดูก็ทำให้ผู้คนมวลท้องอย่างกับผีเสื้อบินอยู่ในท้องเสียอย่างนั้น
ภาพนี้ประจวบเหมาะถูกมู่จิ่นเห็นพอดี มู่จิ่นได้แสร้งทำตัวเป็นลูกค้าของร้านตน เขาได้นั่งลงแล้วพูดว่า “ผู้จัดการร้าน เอาชามาให้ข้าที”
เสียงเรียกของมู่จิ่น ทำเอาชือหลิวอดไม่ได้ที่จะตกใจมู่จิ่น แต่ไหนแต่ไรเขาไม่เคยตะโกนและดื่มแบบนี้มาก่อน
ขณะที่ชือหลิวหันไปมองมู่จิ่น ชือหลิวก็สังเกตเห็นการแสดงออกของเสวี่ยเฉา และชือหลิวก็ตระหนักได้ทันทีมว่ามู่จิ่นกำลังช่วยเธอหลบหนี
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ซูเปอร์ลูกเขย
อ่านแรกๆก็สนุกนะแต่อ่านไปสักพักก็งงกับตรรกะของนักเขียน..นักเขียนจีนนี่โนทัศน์แปลกๆรื่องราวไล่เรียงไปเหมือนมีเหตุผลอยู่ก็กลับไร้เหตุผลดื้อๆซะงั้นคงอ่านไปต่อไม่ได้แล้วมันช่างทำร้ายจิตใจคนอ่านเป็นระยะอ่านไปรู้สึกหนืดๆไม่ไหลลื่นเลย...
ถึงตอน139 อ่านต่อไม่ได้ต้องทำอย่างไรครับ...
ถ้าแต่งเรื่องแบบนี้ไม่ต้องแต่งเลยจะดีกว่าไม่มีความคิดสมัยใหม่เลยถ้าตัวเอกแบบนี้ก็สมที่คนเป็นพ่อเป็นแม่ทัพพาลูกน้องทั้งกองทัพไปตาย...
มีเรื่องนี้ที่ตัวเอกเป็นเหมือนขยะสังคมทั้งที่ทลุมิติมากเกิด...
ไอ้คนแต่งมันปัญญาอ่อนหารือเปล่า...
มันสมควจไหมที่เอาเลือดเขามาติดต่อวิณยาณไม่มีเหตัผลที่จะทำอย่างนี้เหมือนมันไม่มีอะไรทำทำไมไม่คิดเอาวิธีช่วยลูกเมียมันจะมีประโยชน์กว่า...
เรื่องนี้ตัวเอกเหมือนควายเหมือนหมาหมามาก...
ไม่สมควรเป็นชุปเปอร์ลูกเขยน่าเป็นลูกเขยะจริงๆ...
เป็นคนที่ไม่มีสำมาคาระวะเหมือนไพร่น่ารังเกลียดไม่น่าเอามาเป็นตัวเอก...
บางครั้งเชียวเฉวียนเล่นเหมือนเด็กไม่มีความน่านับถือไม่น่าเอามาเป็นตัวเอกน่าให้เป็นคนชั้นตำ่มาก็กว่า...